วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

คริสตจักรล่าแม่มด กับ ปรากฏการณ์ฟ้าผ่า







ในอดีตโบราณ พวกศาสนจักรในยุโรป ไม่รู้ว่า ฟ้าผ่าคือ ปรากฎการณ์ธรรมชาติ

ครั้งไหนที่ฟ้าผ่าทำลายหมู่บ้านเสียหายและผู้คนล้มตาย ก็จะโทษว่า ในหมู่บ้านนั้น มีแม่มดสาวกซาตาน พระเจ้าจึงต้องลงโทษให้เกิดฟ้าผ่า

ศาสนจักรจึงทำให้เกิดการล่าแม่มดมาลงโทษ

ซึ่งที่จริงไม่ใช่มีเฉพาะเหตุผลเรื่องฟ้าผ่าเท่านั้น ที่จะก่อให้เกิดการล่าแม่มด เพื่อมาลงโทษ ซึ่งในทางสังคมจิตวิทยา ก็คล้าย ๆ ในอีสานของไทยเราที่มีการจับผีปอบนั่นแหละ

ทำไมการจับผีปอบจึงมีแต่ในอีสาน ใครสนใจก็ไปสืบค้นหาเอาเองเถอะ ว่าเหตุผลที่ต้องมีพิธีกรรมล่าผีปอบในอีสานมาจนปัจจุบัน เป็นเพราะเหตุผลอะไร

การล่าแม่มดในยุโรปดำเนินมาหลายร้อยปี จนกระทั่งในศตรรรษที่ 17 วิทยาศาสตร์เริ่มมีบทบาทมากขึ้น การล่าแม่มดในยุโรปก็ค่อย ๆ น้อยลงไปเช่นกัน

แต่ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในประเด็นฟ้าผ่าทำลายหมู่บ้าน คนและสัตว์ ก็ยังเป็นเหตุให้คริสตจักรในชนบทมักจะใช้เป็นข้ออ้างในการล่าแม่มด หรือกาลกิณีมาลงโทษ

แต่พอนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ นายเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้ค้นพบไฟฟ้าในอากาศขึ้นใน พ.ศ. 2280 (ค.ศ. 1747) โดยเขาได้ทำการทดลองนำว่าวซึ่งมีกุญแจผูกติดอยู่กับสายป่านขึ้นในอากาศขณะที่เกิดพายุฝน

เขาพบว่าเมื่อเอามือไปใกล้กุญแจ ก็ปรากฏประกายไฟฟ้ามายังมือของเขาจากการทดลองนี้ทำให้เขาค้นพบพายุฝน เขาพบว่าเมื่อเอามือไปใกล้กุญแจก็ปรากฏประกายไฟฟ้ามายังมือของเขาจากการทดลองนี้ทำให้เขาค้นพบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ซึ่งเกิดจากประจุไฟฟ้าในอากาศ

นับตั้งแต่นั้นมาแฟรงคลินก็สามารถประดิษฐ์สายล่อฟ้าได้เป็นคนแรก โดยเอาโลหะต่อไว้กับยอดหอคอยที่สูงๆแล้วต่อสายลวดลงมายังดิน ซึ่งเป็นการป้องกันฟ้าผ่าได้ กล่าวคือไฟฟ้าจากอากาศจะไหลเข้าสู่โลหะที่ต่ออยู่กับยอดหอคอยแล้วไหลลงมาตามสายลวดที่ต่อเอาไว้ลงสู่ดินหมดโดยไม่เป็นอันตรายต่อคนหรืออาคารบ้านเรือน

เมื่อค้นพบว่า ฟ้าผ่าไม่ใช่การลงโทษของพระเจ้า แต่เป็นปรากฏการณ์ไฟฟ้าในธรรมชาติ ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์

ตั้งแตนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีการนำเรื่องฟ้าผ่ามาโยงในการตามล่าแม่มดมาลงโทษเพื่อเซ่นพระเจ้าอีกเลย

แต่เราจะไม่เคยเห็นเรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องประหลาดแต่อย่างใด เราชาวพุทธรู้กันมานานแล้วว่า ฟ้าผ่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ธรรมชาติ

เพราะศาสนาพุทธได้บอกไว้แล้ว และมีเขียนไว้ในพระไตรปิฎก

แต่ก็นั่นแหละ ในความเชื่อที่นอกเหนือธรรมชาติกว่านั้นก็ยังมีอยู่

บางครั้งคนไทยก็มักเชื่อว่า ฟ้าผ่าลงในที่ใด ๆ แสดงว่า ที่นั้น ๆ อาจเคยมีใครกระทำไม่ดีเอาไว้ จึงมีเหตุอาเพศให้ฟ้าผ่าลงมาทำโทษ

ฟ้าผ่าในความเชื่อของชาวเอเซียในหลายที่ก็คล้าย ๆ เช่นฟ้าผ่าคนตาย ก็มักจะเชื่อว่าที่คือการลงโทษจากสวรรค์ต่อคนที่กระทำความผิดมหันต์ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น




counter statistics