วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เมื่อ Starbuck ขายน้ำอสุจิ !!








ตอน Starbuck ขายน้ำอสุจิ

คิดแล้วขำ เมื่อหลายวันก่อนผมดูหนังฝรั่งทางช่อง 7 เรื่อง Delivery Man (เป็นหนังฝั่งฮอลลีวู้ดที่เคยออกฉายในปี 2013)

ชื่อหนังในภาษาไทย คือ "ผู้ชายขายน้ำ"

ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างมาจากนิยายและหนังเก่าจากแคนาดาในปี 2011 เรื่อง Starbuck ที่ไม่มีตัว s ต่อท้ายนะ


Starbuck หนังจากแคนาดาปี 2011

Starbuck ที่ไม่มีอักษร s ต่อท้าย มันคือนามแฝงของพระเอกที่ขายน้ำอสุจิเพื่อแลกกับเงิน

จึงได้เกิดคำสแลง คือ
Starbuck = ขายน้ำอสุจิ

พระเอกได้ขายอสุจิไป 693 ครั้งเพื่อหาเงินพาพ่อและพี่ชายไปเที่ยวอิตาลี หลังจากที่แม่ตาย เพื่อปลอบใจพ่อที่กำลังเศร้า

ต่อมาอีก 20 ปี อสุจิที่ขายไปได้เกิดเป็นลูกของเขาในวัย 18-20 ปีทั้งหมด 533 คน

ซึ่งต่อมาเด็กวัยรุ่นทั้ง 533 คนที่มีพ่อคนเดียวกัน ได้รวมกลุ่มกันเพื่อยื่นเรื่องฟ้องต่อศาล เพื่อขอใช้สิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานให้บริษัทขายสเปิร์ม เปิดเผยว่า พ่อของพวกเขาที่มีนามแฝงว่า สตาร์บัค ตัวจริงคือใคร ?

หนังเรื่องนี้ผมให้คะแนน 6 เต็ม 10 ครับ หนังดูสบาย ๆ และได้ข้อคิดดี

----------

ที่ผมโพสเนี่ย มันทำให้ผมนึกภาพว่า ถ้าผมไปกินกาแฟยี่ห้อนึงที่ชื่อคล้ายนามแฝงของพระเอกเรื่องนี้ ผมต้องนึกถึงคำสแลงที่ว่า

Starbuck = ขายน้ำอสุจิ

แน่ ๆ เลย พอนึกภาพออกไหม 55555

สรุป ดีละที่ผมไม่เคยกินกาแฟยี่ห้อที่มีความหมายคล้ายคำว่า น้ำอสุจิ นี้ 😀😀😀😀

สงสัยคนแต่งเรื่องนี้คงจะเกลียดกาแฟยี่ห้อนี้

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่อพ่อของบิ๊กจ๊อด สั่งซ่อมนักเรียนจ่า






สมัยที่พ่อของผม ยังเป็นนักเรียนจ่าอากาศ ราว ๆ สัก 60 ปีก่อน (จำพ.ศ.ไม่ได้)

พ่อผมเล่าว่า ในตอนนั้นมี นาวาอากาศเอกศุภชัย คงสมพงษ์ (พ่อแท้ ๆ ของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือ บิ๊กจ๊อด หัวหน้าคณะ รสช.) เป็นผู้บังคับการโรงเรียนจ่าอากาศ

พ่อผมเล่าว่า พ่อของบิ๊กจ๊อด แกดุมากจนนักเรียนจ่าไม่กล้าสบตาแกตรง ๆ  เพราะแกเฮี้ยบในเรื่องระเบียบวินัยมาก ๆ ซึ่งคงตกทอดมาถึงพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ นั่นแหละ ดูจากการแต่งกายของบิ๊กจ๊อดสิ จนท่านได้ฉายา "นายพลเสื้อคับ"


บิ๊กจ๊อด ฉายา นายพลเสื้อคับ


ดังนั้น ถ้านักเรียนจ่าอากาศคนไหน เกิดทำผิดวินัยให้พ่อบิ๊กจ๊อดเห็น นักเรียนคนนั้นเจอคำว่า ซวยสุด ๆ

มีช่วงบ่ายวันนึง พ่อของบิ๊กจ๊อดได้สั่งซ่อมนักเรียนจ่าคนหนึ่ง โดยให้วิ่งรอบสนามไปเรื่อย ๆ จนกว่าแกจะพอใจ

แต่พอเลิกเวลาราชการ พ่อของบิ๊กจ๊อด แกจะต้องขับรถไปกินเหล้าที่สโมสรสัญญาบัตรเป็นกิจวัตรทุกวัน

ซึ่งในวันนั้น แกก็ออกไปกินเหล้าตามปกติ แต่ยังปล่อยให้นักเรียนจ่าคนนั้นวิ่งรอบสนามต่อไป

สุดท้าย พ่อบิ๊กจ๊อด แกคงเมาตามปกติของแก พอเมาแล้วแกก็เลยลืมกลับเข้ามาที่โรงเรียนจ่าในวันนั้นอีก

ผลก็คือ นักเรียนจ่าคนนั้น ก็ไม่กล้าหยุดวิ่งจนกว่าท่านผู้บังคับการจะมาสั่งให้หยุด ก็เลยวิ่งจนมืดค่ำ กระทั่งหมดเรี่ยวแรงเป็นลมสลบไป จนเพื่อน ๆ ต้องมาช่วยกันหามไปห้องพยาบาล

แต่โชคดีที่นักเรียนจ่าคนนั้น ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่เป็นลม หมดแรง นอนสลบไสลในห้องพยาบาลไป 2 วัน

ซึ่งพอเช้าวันต่อมา พ่อของบิ๊กจ๊อด แกก็มาทำงานตามปกติ แต่แกลืมไปแล้วว่า เมื่อวานแกได้สั่งซ่อมนักเรียนคนนึงเอาไว้

พ่อผมเล่าว่า พอแกหายเมา แกก็ลืมหมดแล้วล่ะ 5555

เรื่องการสั่งซ่อมครั้งนั้นของท่านผู้บังคับการนาวาอากาศเอกศุภชัย คงสมพงษ์ กลายเป็นที่เล่าขานกันในหมู่นักเรียนจ่าอากาศมาอีกหลายปี

------------------

ช่วงที่พ่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง เป็นช่วงที่ รสช. กำลังเรืองอำนาจ ที่มีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ

พ่อของบิ๊กจ๊อด ถึงแกจะดุและเฮี้ยบ แต่แกก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนักเรียนจ่าคนนั้นหรอกครับ เพราะพอแกเมา แกก็ลืมไปตามประสานั่นแหละ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเก่ามาก ๆ ผมแค่จำมาเล่าต่อ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่บิดาของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์แต่อย่างใด

หากลูกหลานของท่านมาอ่านบทความนี้ ก็คิดเสียว่า เป็นเรื่องตำนานบทนึงแห่งโรงเรียนจ่าอากาศ แล้วกัน ซึ่งคิดว่า นักเรียนจ่ารุ่นหลัง ๆ ก็คงไม่เคยได้ยินตำนานเรื่องนี้ ผมเลยอยากนำมาเขียนเก็บบันทึกเอาไว้

ขออภัยหากบทความล่วงเกินท่านโดยมิได้มีเจตนาใด ๆ

----------------

ขอฝากข้อคิดว่า

หากท่านใดที่มีภาระหน้าที่ในการควบคุมดูแลระเบียบวินัยแก่คนในสังกัดของท่าน

ก็จงรักษาระเบียบวินัยนั้นด้วยความเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน จงอย่าได้กระทำการลงโทษผู้ใดโดยปราศจากความเมตตา

เพราะเราทุกคนล้วนแต่เป็นคนไทย ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เช่นเดียวกัน ทุกคนล้วนมีพ่อมีแม่ที่รอพวกเขากลับบ้านเช่นเดียวกัน

หากใครสั่งลงโทษทางวินัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยจิตที่ไร้ซึ่งเมตตาแล้ว มันผู้นั้นไม่สมควรเป็นผู้บังคับบัญชาใครทั้งสิ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

อย่าเปรียบเทียบ เนติวิทย์ vs ฌอน บูรณะหิรัญ เลย







นายเนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล อดีตประธานสภานิสิตจุฬาฯ ที่เพิ่งโดนปลด จากสาเหตุที่มีเจตนาก่อกวนพิธีถวายบังคมรัชกาลที่ 5 ของนิสิตคนอื่น ๆ

หากใครได้ตามข่าวโดยละเอียดก็จะรู้ว่า เนติวิทย์ มีการวางแผนและบิดเบือนข่าวเพื่อเจตนาใส่ร้ายสถาบันการศึกษาของตัวเอง (ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียด)

กรณีเนติวิทย์ ผมไม่ได้มองว่า เขาคือขบถเชิงสร้างสรรค์สังคม แต่ผมมองว่าเขาเป็นประเภทขบถเชิงทำลายโดยแท้

คือแทนที่จะออกไปต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ในสังคม แต่เนติวิทย์ดันเลือกที่จะต่อต้านประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ

เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยม ด้วยการนำเสนอแนวคิดต่อต้านการเข้าแถวร้องเพลงชาติไทยของนักเรียน ต่อต้านการไว้ผมทรงนักเรียนตามระเบียบของโรงเรียนและกระทรวงศึกษาธิการ

แล้วตั้งแต่ก่อนและหลังที่เนเน่เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เขาก็นำเสนอแนวคิดต่อต้านพิธีถวายบังคมรัชกาลที่ 5 ด้วยการอ้างว่า มันคือประเพณีพิธีป่าเถื่อน ที่กดขี่ความเป็นคน เป็นการแบ่งชนชั้นให้คนไม่เท่าเทียมกัน ทั้ง ๆ ที่ รัชกาลที่ 5 ได้ทรงออกกฎหมายยกเลิกการหมอบคลานและการกราบไปแล้ว

แต่เขาลืมคิดไปว่า กฎหมายของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงยกเลิกนั้น ก็คือยกเลิกการบังคับให้ต้องหมอบคลานหมอบกราบเวลาเข้าเฝ้าในหลวงและเจ้านาย

แต่รัชกาลที่ 5 ทรงไม่ได้ห้ามถ้าใครยังอยากจะหมอบกราบคนที่เขาเคารพนับถือ เราจึงยังเห็นประเพณีให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ กราบผู้มีพระคุณมาจนวันนี้

เนติวิทย์ ชอบอ้างประชาธิปไตย ชอบอ้างสิทธิเสรีภาพ แต่เนติวิทย์กลับไม่เคารพสิทธิของนิสิตคนอื่น ๆ ที่เขายังพึงพอใจที่จะร่วมพิธีถวายบังคมรัชกาลที่ 5 ถึงขั้นวางแผนป่วนพิธี บิดเบือนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์อย่างหน้าด้าน ๆ จนเป็นเหตุให้ทางจุฬาฯ ต้องมีคำสั่งปลดเขาออกจากประธานสภานิสิต

แต่เนติวิทย์ ก็ยังไม่สำนึกในความผิด กลับร่วมมือกับสื่อต่างชาติบิดเบือนข่าวว่า ที่เขาถูกปลดจากประธานสภานิสิต สาเหตุมาจากที่เขาไม่ยอมก้มกราบถวายบังคมรัชกาลที่ 5

ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันไม่ใช่

นี่ล่าสุดเขาโอ้อวดว่า ตัวเองโกนหัวประท้วงคำสั่งปลดของจุฬา แต่เมื่อดูจากรูป นี่มันใช่การโกนหัวประท้วงซะที่ไหน 

นี่มันแค่ตัดผมทรงรองหวีเท่านั้น ไม่ใช่การโกนหัวสักหน่อย เพราะการโกนหัวมันต้องโกนจนเกลี้ยงแบบคนที่เขาจะบวชพระ



แค่การโกนหัว เนติวิทย์ยังบิดเบือน คนพรรค์นี้ บอกตรงไร้ราคาสำหรับผู้มีปัญญาที่รู้เท่าทันสันดานพวกร่าน

เคยมีคนที่ผมรู้จักคนนึงเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์รัฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสของเขา เคยถามเขาว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร ?

คนที่ผมรู้จักเขาตอบอาจารย์ไปหลายอย่าง แต่ก็ไม่ถูก

อาจารย์ชาวฝรั่งเศสจึงเฉลยว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงคือการมีมารยาท ถ้าไม่มีมารยาทก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย

ดังนั้นสิ่งที่เนติวิทย์ ศรัทธาจึงไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ชอบแอบอ้างหรอกครับ

แต่ เนติวิทย์ เป็นพวกร่านธิปไตย ต่างหาก

----------------------

ณอน บูรณะหิรัญ

ฌอน บูรณะหิรัญ เขาเป็นคนไทยที่เติบโตในสหรัฐอเมริกา หน้าตาหล่อ นิสัยดี เคารพประเพณีวัฒนธรรมไทย

ณอน เป็นนักพูดเพื่อสร้างกำลังใจให้ผู้คน จนมีชื่อเสียงโด่งดัง

รูป ฌอน ไปสนทนากับแม่ชีศันสนีย์ ฌอน รู้จักวัฒนธรรมการเคารพผู้ใหญ่เป็นอย่างดี


จากรูปนี้ ก็พอจะบอกได้ว่า คนที่เติบโตในต่างประเทศตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่อย่างฌอน แต่เขากลับรู้จักวัฒนธรรมการเคารพผู้ใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูง ตามแบบอย่างที่งดงามของวัฒนธรรมไทย

เรียกว่า ฌอน ทั้งหล่อและจิตใจดีมาก ๆ แตกต่างกับเนติวิทย์ ราวสวรรค์กับนรก

ราวกับฌอน เป็นเทวดาลงมาเกิด

ส่วนเนติวิทย์ คงเป็นนรกส่งมาชิงจิ้งจกเกิด แหง ๆ

ฌอน คนรักชาติ ส่วน เนติวิทย์ พวกลัทธิชังชาติ



ฌอน กลับมาเพื่อช่วยทำให้คนไทยมีความสุขมากขึ้น แต่เนติวิทย์ เกิดมาเพื่อทำลายความสงบสุขของคนไทย

คิดดู ประเพณีพิธีถวายบังคมรัชกาลที่ 5 ของจุฬาฯ เขาก็ทำพิธีอย่างสงบสุขกันมาหลายปี

แต่พอมีไอ้เด็กเวรเข้าไปเรียนแค่ 2 ปี มันป่วนพิธีได้ทุกปี สร้างความแตกแยกให้กับคนในสถาบัน ไม่ต่างอะไรกับเทวทัตสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์เลย

คนที่ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างความแตกแยกที่นั่น เขาเรียกว่า คนหนักอะไรนะ ?

------------------

เกิดบนแผ่นดินไทยแท้ ๆ แต่กลับรังเกียจวัฒนธรรมของชาติตัวเอง ในขณะที่คนที่เขาใช้ชีวิตบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาเขากลับเคารพและให้เกียรติประเพณีวัฒนธรรมของแผ่นดินแม่

ยังมีตัวอย่างอีกบทความครับคุณผู้อ่าน ที่เด็กลูกครึ่งไทยซีเรียที่พลัดพรากจากแม่คนไทยไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาเติบโตที่สหรัฐอเมริกาจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาได้กลับมาตามหาแม่ของเขาในไทย และเมื่อเขาเจอแม่ เขาก้มลงกราบเท้าแม่ของเขาทันที

คลิกอ่าน ช็อตประทับใจ ลูกชายจากสหรัฐอเมริกาตามหาแม่ในรายการตี 10

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลักพุทธศาสนา vs เข็มทิศชีวิตสู่กฎแห่งจักรวาลและความร่ำรวย






พอดีเมื่อ 2 วันก่อน ผมเจอแชร์ไลน์ในกลุ่มเพื่อนของผม โจมตีหลักสูตรเข็มทิศชีวิตของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ด้วยประโยคที่ว่า

"#มาแรงแซงธรรมกาย เรียนธรรมะ ที่ต้องจ่ายเงินคอร์สละหลายๆ หมื่น #ธุรกิจสะกดจิตคนรวย ไม่รวยไม่มีเงินอย่าได้หวังจะเข้าถึงหลักธรรม พระพุทธศาสนาสอนให้ ลด ละ เลิก แต่นี่สอน ให้ สะสมความรวย รวย และ รวย สะสมกิเลส แบบเดียวกับสำนักจานบิน ไม่ต้องแอบอ้างพระพุทธศาสนาอีกต่อไปครับ ประกาศตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ #เข็มทิศชีวิต เลยครับ สนับสนุนเต็มที่...."


พร้อมทั้งลงรูปกิจกรรมเข็มทิศภาวนา (ซึ่งเป็นการบิดเบือนอย่างหนึ่ง แนะนำอ่านบทความเรื่อง การโจมตีเข็มทิศภาวนาแบบไม่ยุติธรรม) รวมถึงลงรูปบ้านของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ว่าบ้านของครูอ้อยมีความเป็นอยู่หรูหรา ร่ำรวยมาก ๆ  ซึ่งผมไม่ขอลงรูปบ้านครูอ้อย เพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะอธิบายในบทความนี้

ในไลน์เพื่อน ผมถึงกับร่ายยาวให้เพื่อน ๆ ในไลน์ของผมฟังว่า ไอ้คนที่โจมตีครูอ้อย ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกล้มเจ้าที่โจมตีหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 เพียงแต่ใช้หลักที่ตรงกันข้ามกันในการโจมตี

-------------------

ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนเลยว่า ผมไม่รู้จักครูอ้อย ฐิตินาถ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอตัวจริง ไม่เคยพูดคุยกัน และไม่เคยลงเรียนคอร์สเข็มทิศชีวิตราคา 25,000 บาทของครูอ้อยด้วย

แต่ที่ผมอยากจะอธิบายก็คือ หลักของพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้คนเราหรือฆราวาสอย่างเรา ๆ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากจนนะครับ

ขอย้ำว่า หลักพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้คนเราต้องอยู่ยากจน หรือทำตัวยากจน ตามที่มีผู้ไม่หวังดีต่อพุทธศาสนา พยายามหาเหตุโจมตีหรือทำตีเนียนยกคำสอนพุทธศาสนามาอ้างแบบผิด ๆ แต่แฝงด้วยเจตนาร้าย

เพราะเดี๋ยวนี้มันจะมีพวกมารศาสนาที่ชอบโจมตีศาสนาพุทธว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนละความโลภ ละกิเลส และต้องทำตัวอยู่อย่างยากจน

ซึ่งนี่คือการบิดเบือนคำสอนของศาสนาพุทธโดยแท้ พวกนี้มักกล่าวหาว่า คำสอนศาสนาพุทธขัดกับหลักความเจริญรุ่งเรืองของโลก เป็นต้น

ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่พวกล้มเจ้าที่ชอบกล่าวหาว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงคือการสอนให้คนไทยต้องอยู่อย่างยากจนทำนองนั้น ซึ่งพวกล้มเจ้าและพวกมารศาสนามันมั่วมาก ๆ

ก่อนอื่นเราต้องรู้และแยกแยะให้เป็นเสียก่อนว่า ศาสนาพุทธของเรา มีคำสอนเกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตของฆราวาส และหลักประพฤติปฏิบัติของภิกษุ ซึ่งมีส่วนที่แตกต่างกัน

เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่อย่างมักน้อยหรืออยู่อย่างยากจนนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักนี้เฉพาะกับพระภิกษุ ภิกษุณี รวมถึงสามเณร เท่านั้น ส่วนฆราวาสชาวพุทธอยากจะร่ำรวยก็ย่อมได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงห้าม

แน่นอนคนเราควรละลดกิเลสให้น้อยลง หรือควบคุมกิเลสมันให้ไม่เกิดปัญหาหนักอึ้ง แต่คนเราก็ยังสามารถร่ำรวยได้

พระพุทธเจ้าทรงไม่เคยห้ามให้ฆราวาสร่ำรวย แถมยังทรงสอนหลักการทำมาหากินที่จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตด้วยนั่นคือ หลักสัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพชอบ นั่นเอง

หรืออย่างเช่น หลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 ก็นำมาจากหลักทางสายกลางของพุทธศาสนา นำมาแยกย่อยให้พวกเราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียงเช่น "คิดทำให้พอกินก่อน พอเหลือแล้วค่อยแบ่งปัน (ทำทาน) พอเหลือจากแบ่งปันแล้วค่อยขาย"  ซึ่งถ้าใครก็ตามที่นำหลักคิดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงนี้มาใช้ คุณก็จะร่ำรวยขึ้นมาเองโดยที่คุณไม่ต้องโลภมากอะไรเลย

เฉกเช่น หลักของความรักในศาสนาคริสต์ ที่สอนว่า "จงรักผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข จงรักโดยไม่หวังผลตอบแทน" ซึ่งหากใครที่สามารถให้ความรักแก่ใครก็ตามโดยไม่ต้องหวังผลตอบแทนได้เมื่อไหร่ คุณก็กลับจะได้รับความรักที่แท้จริงตอบแทนกลับมาเอง โดยที่คุณเองก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ความรักตอบแทนด้วยซ้ำ


หลักคิดอะไรพวกนี้ ถ้าในยุคสมัยใหม่ เขานำเรียกกันใหม่ว่า กฎแห่งจักรวาล กฎแห่งแรงดึงดูด และกฎแห่งพลังคิดบวก ที่พวกฝรั่งก็นำใช้สอนกัน ซึ่งแท้จริงแล้วกฎพวกนี้มันมีอยู่ในหลักของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกัน

ทั้ง ๆ ที่กฎทั้งหลายต่าง ๆ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าของเราทรงสอนไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งครูอ้อยก็นำหลักและกฎพวกนี้มาอธิบายในเชิงวิถีพุทธในบางคลิป ย้ำว่า มีในบางคลิปเท่านั้น

ตัวอย่าง คลิปสอนฟรีของครูอ้อยบนยูทูป ซึ่งมีคลิปให้ดูฟรีเยอะมากโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท คลิปแค่ 4 นาที ลองดูเป็นตัวอย่างครับ



(การร่ำรวยโดยไม่โลภมาก นั้นทำได้แน่นอน แต่มันต้องใช้หลักคิดแบบยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งมียิ่งได้  เป็นต้น ซึ่งตรงกับกฎของแรงดึงดูด ซึ่งผมคงไม่ลงในรายละเอียดนะ)

--------------------

ผมรู้จักชื่อเสียงครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ครั้งแรกเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เมื่อครูอ้อย มาออกรายการเจาะใจ

ครูอ้อยมาเล่าชีวิตของตัวเองว่า สามีของครูอ้อยได้เสียชีวิต แล้วทิ้งหนี้สินกว่าร้อยล้านบาทไว้ให้เธอชดใช้

ซึ่งครูอ้อยได้เล่าว่า ครูใช้หลักคิดในพุทธศาสนานี่แหละ ใช้แก้ปัญหาชีวิตและแก้ปัญหาหนี้สินของตัวเองได้จนหมด (ดูรูปประกอบเรื่องนี้ท้ายบทความ)

แล้วครูอ้อยซึ่งเคยทำมาหากินเกี่ยวกับขายเพชรและอัญมณี ก็สามารถหาเงินจนได้ประมาณ 100 ล้านบาท (เท่าที่ผมจำได้นะจากรายการเจาะใจในอดีต) รวยมากพอที่จะไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้วตลอดชีวิต ครูอ้อยก็เลิกทำอาชีพค้าเพชร เพื่อออกมาสอนผู้คน

โดยในรายการเจาะใจเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ครูอ้อย เล่าว่า ตัวเองเสียเงินไปเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตและจิตวิทยาจากต่างประเทศเป็นจำนวนหลายล้านบาท แล้วจึงกลับมาสอนคนในหลักสูตรการพัฒนาชีวิต

ซึ่งในระยะแรก ครูอ้อย เล่าว่า จะเดินสายพูดอยู่ 2 แบบคือ

ถ้าพูดเรื่องธรรมะจะเดินสายพูดฟรี สอนฟรี 

แต่ถ้าอบรมเรื่องหลักสูตรจิตวิทยาพัฒนาคนและพัฒนาองค์กร พูดแบบนี้จะได้เงินค่าสอน

ซึ่งต่อมา (ผมคิดเอาเองนะว่า) อาจด้วยเหตุผลทางธุรกิจและความสะดวกในการเรียนในสถานที่ดี ๆ เช่นในโรงแรมใหญ่ ๆ ครูอ้อยจึงได้จัดสร้างหลักสูตรเข็มทิศชีวิตขึ้นมา ซึ่งมันก็แค่หลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิตเหมือนที่พวกฝรั่งหรือใคร ๆ เขาเปิดหลักสูตรทำนองนี้มากมายนั่นแหละ ราคาก็แพง ๆใกล้ ๆ กัน

ครูอ้อย ก็แค่เปิดหลักสูตรสอนการพัฒนาชีวิตของคน ไม่ใช่มาขอเรี่ยไรให้คนมาทำบุญ หรือสอนคนให้เอาเงินมาให้ครูอ้อยแล้วคุณจะร่ำรวย เหมือนพวกสมีห่มเหลืองและพวกเหลือบในพุทธศาสนาใช้หลอกผู้คนมาทำบุญซื้อวิมานบนสวรรค์ทำนองนั้น

อย่างผม ใหม่เมืองเอก ก็ติดตามเพจเข็มทิศชีวิต ของครูอ้อย  รวมทั้งติดตามเพจของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยากรระดับโลกที่หันมาสอนหลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิต  และผมยังติดตามอีกหลาย ๆ เพจที่สอนทำนองเดียวกันนี้ ผมติดตามอ่านทุกวัน อ่านฟรี เรียนรู้ฟรี ในยูทูปและในเฟสบุ๊คแฟนเพจ

แถมหนังสือเข็มทิศชีวิตที่ขายดีของครูอ้อย ผมก็ไม่เคยซื้ออ่าน เพราะครูอ้อยอ่านให้ฟังเป็นหนังสือเสียงฟรี ๆ ในยูทูป

ที่ครูอ้อยร่ำรวยตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่รวยมาก่อนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะรวยขึ้นจะเพราะหลักสูตรเข็มทิศชีวิตหรือไม่ก็ตาม ถามว่า แล้วมันผิดตรงไหนเหรอ ? อย่าลืมว่าครูอ้อยเธอเป็นฆราวาสนะครับ เธอไม่ใช่พระ ทีมงานของเธอก็ต้องมีรายได้มีเงินเดือนไว้เลี้ยงชีพ

ซึ่งโดยเนื้อหาหลัก ๆ ส่วนใหญ่ของหลักสูตรเข็มทิศชีวิต เท่าที่ผมติดตามอ่านฟรี ก็มีการอ้างเนื้อหาในพุทธศาสนาบ้างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

เพียงแต่วิถีของครูอ้อยเป็นชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมบ่อย ไอ้คนที่ไม่หวังดีจึงพยายามจับมาโยงว่า เอาพุทธศาสนามาหากินจนร่ำรวย ซึ่งคนที่ไม่เคยศึกษารายละเอียดย่อมหลงเชื่อโดยง่าย

แต่เท่าที่ผมรู้จากการติดตามเพจ ครูอ้อยยังมีกิจการสร้างหมู่บ้านเข็มทิศไว้ขายเป็นอีกกิจการหนึ่งที่เป็นอาชีพเสริมในตอนนี้ของครูอ้อย

ตัวอย่าง คลิปหนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 1 (ส่วนเล่มที่เหลือ ไปตามฟังได้ฟรีบนยูทูป)


ผมยังไม่เคยเสียเงินให้ครูอ้อยสักบาท และไม่สนใจจะไปลงคอร์สเรียนหลักสูตรเข็มทิศชีวิตราคา 25,000 บาทนั่นด้วย

แถมเวลาครูอ้อยไปทำบุญที่วัดใด ครูอ้อยก็จะส่งข่าวมาให้ลูกเพจร่วมอนุโมทนาบุญ โดยที่ผมยังไม่เคยเห็นครูอ้อยบอกบุญเรี่ยไรเงินจากลูกเพจบนเพจของครูอ้อยเลย นะ

ผมคิดว่า เขาคงบอกบุญกันในหมู่ลูกศิษย์ที่สนิทสนมกันเองเป็นการส่วนตัว ไม่เคยเห็นมาขอเรี่ยไรบริจาคจากลูกเพจเลย มีแต่ไปทำบุญแล้วก็มาบอกข่าวให้อนุโมทนาบุญร่วมกัน

ซึ่งผมมองว่า หลักสูตรเข็มทิศชีวิต ก็เหมือนหลักสูตรฮาวทู หลักสูตรพัฒนาชีวิตตนเองแบบที่หลาย ๆ คนเปิดหลักสูตรอบรมสอน เช่น คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ก็สอนหลักสูตรทำนองเดียวกันนี้

คุณบัณฑิต เอง ก็เคยสอนเคยพูดไว้ในบางคลิปว่า หลักในกฎแห่งแรงดึงดูด หลักในกฎแห่งจักรวาล พระพุทธเจ้าทรงเคยสอนมาแล้วทั้งนั้น

ซึ่งหลักสูตรพวกนี้ ใครใคร่เรียนก็เรียน ใครไม่อยากเรียน ใครไม่อยากเสียเงินเรียน ก็หาอ่าน หาศึกษาเองในอินเตอร์เน็ตก็ได้มีเยอะแยะ ซึ่งผมก็ใช้วิธีเรียนฟรีนี้เหมือนกัน

-----------------

ผมเองติดตามเพจครูอ้อยมาหลายเดือนแล้ว ก็เข้าใจถึงแนวคิดของหลักสูตรครูอ้อยพอสมควร

ซึ่งนั่นก็คือ กฎแห่งการคิดบวก กฎแห่งแรงดึงดูด และกฎแห่งจักรวาล นั่นแหละ เพียงแต่ว่า ครูอ้อย สอนให้เห็นว่า ความจริงกฎต่าง ๆ พวกนี้มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งนั้น

หรือกรณีแก้ปมในอดีตในวัยเด็ก หลายคนก็รู้ว่าตัวเองรักพ่อแม่มาก แต่หลายคนก็กลับไม่รู้ตัวเองว่า ตนเองมีปมด้อยที่ติดอยู่ตรงชอบกล่าวโทษพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว

หลักสูตรฮาวทูทั้งหลายเช่น หลักสูตรเข็มทิศชีวิต รวมทั้งหลักสูตรแลนด์มาร์คฟอรั่ม อันโด่งดังยาวนานในโลกและในประเทศไทย ก็ล้วนต่างช่วยสอนให้แก้ปมในอดีตในใจของลูก ๆ ที่เผลอกล่าวโทษพ่อแม่โดยไม่รู้ตัวเองทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น มีลูกบางคนยอมเชื่อฟังพ่อแม่ที่บังคับให้เรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ตัวเองไม่ชอบ ต่อมาพอเรียนจบ ตัวเองก็ทำงานในสายงานที่ตัวเองไม่ชอบ ทำงานอย่างไม่มีความสุข จนต้องเปลี่ยนงานหลายครั้ง เขาก็จะกล่าวโทษพ่อแม่มาตลอดชีวิตว่า เพราะพ่อแม่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องทำงานอย่างไม่มีความสุข

สิ่งเหล่านี้เท่ากับตัวเองโยนความผิดนี้ให้พ่อแม่แทน ผลที่ได้ก็คือ ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบในชีวิตตัวเอง เพราะกล่าวโทษพ่อแม่แทนไปแล้ว

แต่พอคน ๆ นั้น ได้แก้ปมในใจที่กล่าวโทษพ่อแม่ในเรื่องนี้ได้แล้ว เขากลับได้มุมมองใหม่ในชีวิต กลับไปเข้าใจบริบทของพ่อแม่ในอดีต และกลับไปรักพ่อแม่มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม แล้วผลต่อมาที่ได้ก็คือ เขากลับไปทำงานอย่างมีความสุข เริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต และมีความร่ำรวยตามมาเองในที่สุด นั่นเพราะมุมมองในชีวิตเขาเปลี่ยนไป เขามองในมุมคิดบวกมากขึ้น รับรู้ความรักที่แท้จริงของพ่อแม่  จึงทำให้ชีวิตเขาจึงพลิกเปลี่ยนใหม่หมด ชีวิตดีขึ้นแบบมีปาฏิหาริย์ เป็นต้น


หลักจิตวิทยาที่ช่วยแก้ปมในอดีตในจิตใต้สำนึกของคนเรา หากใครแก้ไขปมในจิตใต้สำนึกนั้นได้ ก็จะเหมือนได้ชีวิตใหม่ ได้มุมมองใหม่ ซึ่งมันจะสามารถพลิกหรือเปลี่ยนชีวิตของตัวเองได้อย่างเหลือเชื่อ !! (ซึ่งบางคนก็เลือกแก้ปมแบบนี้ด้วยการไปเสียเงินเพื่อพบนักจิตวิทยา หรือพบจิตแพทย์ให้รักษาก็มี)

ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือพระเจ้าทรงดลบันดาลมาให้ แต่เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นเอง  ซึ่งตรงกับหลักพุทธที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นเอง

นี่แหละครับ หลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิตตนเอง ที่หลาย ๆ โค้ชเขาสอน บทสรุปก็จะประมาณนี้

เพราะ พลังแห่งพระเจ้าอยู่ในตัวเราเอง

---------------------

สรุป หลักสูตรเข็มทิศชีวิต สอนอะไร

ผมใหม่เมืองเอก กำลังจะสื่อสารให้คุณผู้อ่านของผมได้เข้าใจว่า กฎแห่งจักรวาล กฎแห่งแรงดึงดูด กฎแห่งพลังคิดบวก หรือแม้แต่หลักวิทยาศาตร์ทางจิตที่ฝรั่งค้นพบคือ หลัก NLP ก็ล้วนแต่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น

เช่น หลักตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน หลักให้อภัยอดีต ปล่อยวางอดีต หลักกฎแห่งกรรม เช่น ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นผลแห่งการกระทำของเราในอดีต  หากเราอยากให้อนาคตดีขึ้นก็ต้องแก้ที่การกระทำในวันนี้ของเราให้ดีขึ้น เป็นต้น

" คิดดี ทำดี พูดดี มีสติอยู่กับปัจจุบัน ชีวิตย่อมดีขึ้น นั่นแหละคือ ปาฏิหาริย์ "

ทั้งหมดที่ว่ามา คือ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น เพียงแต่โค้ชที่เปิดสอนหลักสูตรเหล่านี้ เขานำมาสอนให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ



อย่างกรณีหลักสูตรของครูอ้อย เท่าที่ผมตามอ่านฟรี ตามดูคลิปฟรี ๆ ผมพอสรุปได้ว่า

หลักเข็มทิศชีวิต ก็คือ หลักยิ่งมียิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งได้รับ ยิ่งรู้สึกเปี่ยมรักยิ่งได้ความรักมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจักรวาลจะส่งโจทย์อะไรมาให้เรา เราต้องใช้ด้านดีและพลังคิดบวกรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ เสมอ แล้วสุดท้ายชีวิตของเราจะดีขึ้น

ส่วนประเด็นอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เช่นประเด็นความขัดแย้งของครูอ้อยกับใคร ๆ ก็ตามนั้น ผมไม่รู้เรื่องและไม่คิดจะสนใจ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา

และเพราะมันไม่ใช่เนื้อหาที่ผมจะต้องมาอธิบายใด ๆ ในเชิงคำสอนพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับความร่ำรวยและหลักสูตรการพัฒนาชีวิตตนเอง

คุณลองไปดูคำสอนของครูอ้อย ไปเรียนรู้แบบฟรี ๆ ให้ชัดเจนเสียก่อน คุณไม่ต้องมาเชื่อที่ผมเขียน คุณลองไปดูไปศึกษา แล้วถ้าคุณคิดว่า คำสอนของครูอ้อยไม่ดีตรงไหน เรามาถกกันได้ครับ

หลักสูตรครูอ้อยเรียนฟรีก็มีครับ ปีนึงครูอ้อย จะมีเปิดให้ประชาชนทั่วไปเรียนฟรี ที่เรียกว่า "หลักสูตรเข็มทิศภาวนา" โดยพวกลูกศิษย์ของครูอ้อยที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะร่วมกันทำบุญเป็นสปอนเซอร์ให้กิจกรรมนี้

ซึ่งผมก็ไม่เคยไปเรียนเช่นกัน เพราะแค่เรียนฟรีตามอินเตอร์เน็ต ผมก็ว่า ได้เยอะมากแล้ว

ผมยืนยันว่า คุณไม่ต้องไปเสียเงินเรียนแพงๆ หรอกครับ หาเรียนฟรี ๆ ในหลาย ๆ เพจก็เยอะถมไปแล้ว

ทางเลือกเรียนฟรี ๆ ก็มี ใครไม่อยากเสียเงินเรียนคอร์สแพง ๆ  ก็ไม่ต้องไปเรียนครับ นี่คือคำแนะนำของผม

ซึ่งถ้าให้ผมแนะนำเพจที่ยอดเยี่ยมที่สุดตอนนี้ที่ผมศรัทธามาก คือ เพจของคุณดังตฤณ เพจนี้สอนธรรมะเข้าใจง่ายและลึกซึ้งอย่างมาก และไม่มีคอร์สให้ต้องเสียเงินเรียนแต่อย่างใด พร้อมมีคลิปให้ศึกษาฟรีเช่นกันบนยูทูป แค่ลองพิมพ์คำว่า "ดังตฤณ" บนกูเกิลและบนยูทูป แล้วคุณจะพบสุดยอดฆราวาสที่สอนธรรมะได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ

--------------

สรุปท้ายบทความ

ผมไม่เห็นด้วยกับการที่ใครเอาหลักคำสอนพระพุทธศาสนามาใช้แบบผิด ๆ เช่น คำสอนที่ว่า ลด ละ เลิกกิเลส แล้วมาพูดมั่ว ๆ ว่า ใครที่สอนให้คนร่ำรวย แสดงว่า ไม่ใช่หลักของพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา เราเน้นที่ความไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นให้เดิอดร้อน หากคุณทำได้ตามนี้ในสัมมาอาชีพของคุณ คุณซื่อสัตย์ คุณสุจริต คุณเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ค้าขายเอากำไรอย่างพอเพียง มีเมตตากรุณาต่อลูกค้า ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ ความร่ำรวยจะมาหาคุณเองโดยที่คุณไม่ต้องมีความโลภมากอะไรเลย

ไอ้พวกที่บอกว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนเราต้องอยู่ยากจน ห้ามร่ำรวย ความร่ำรวยเป็นกิเลส ต้องละ ต้องลด ไอ้พวกนี้แหละคือพวกบ่อนทำลายพุทธศาสนาโดยแท้ครับ

หลักการดำเนินชีวิตของฆราวาสชาวพุทธสามารถร่ำรวยได้โว้ย ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างยากจนแบบพระสงฆ์ โปรดเข้าใจไว้ด้วย

หัดแยกแยะซะบ้างว่า หลักปฏิบัติของพระกับหลักดำเนินชีวิตของฆราวาสมีความแตกต่างกัน

ไอ้คนที่โจมตีครูอ้อย มันหยิบแต่เปลือกมาโจมตี หยิบเอาภาพบางอย่างมาให้คนที่ไม่เคยอ่าน ให้คนที่ไม่เคยศึกษาหลักสูตรที่ครูอ้อยสอนมาโจมตี

ซึ่งคนไทยยุคนี้พอเห็นอะไรที่แชร์มาในไลน์ รู้แค่สั้น ๆ ผิวเผิน ก็เลือกที่จะเชื่อโดยที่ไม่ศึกษาวิเคราะห์หาเหตุผลที่แท้จริงเสียก่อนอยู่แล้ว นี่แหละสันดานการเล่นเน็ตของคนไทยที่ห่วยแตกที่สุดในโลก พร้อมกับสถิติเล่นเฟสบุ๊คเล่นไลน์สูงที่สุดในโลก

แต่ความโง่และการหลงเชื่อข้อมูลมั่ว ๆ แล้วแชร์ต่อของคนไทยก็สูงที่สุดในโลกเช่นกัน

กรณีครูอ้อย ไม่มีความเหมือนกรณีอีทัมมี่ของวัดจานบินเลย เพราะที่ครูอ้อยสอนคือสอนให้รวยจากการดำเนินชีวิตที่ดีเยี่ยมและวิธีคิดที่ถูกต้องแล้วจะร่ำรวยขึ้นได้เอง ไม่ใช่สอนให้คนเอาเงินมาทำบุญที่วัดเยอะ ๆ หรือมาทำบุญกับครูอ้อยเยอะ ๆ แล้วจะยิ่งรวยแล้วจะมีวิมานบนสวรรค์รออยู่แบบที่วัดจานบินมันสอน

คุณผู้อ่านอย่าหลงเป็นเหยื่อไอ้พวกมารศาสนาที่แอบอ้างยกคำสอนเรื่องละโลภ ละกิเลส แต่มาใช้ในทางผิด ๆ ล่ะครับ พวกมารศาสนาพวกนี้มันแฝงทำลายศาสนาพุทธทางอ้อม ทำนองว่า หลักศาสนาพุทธขัดกับความเจริญของโลก

บทความนี้ของผมที่ผมเขียนเอง จึงขอจบลงเพียงเท่านี้

แต่ที่อยากจะแนะนำให้อ่านต่อไปคือ เรื่อง "พระพุทธเจ้าสอนให้ร่ำรวย" ครับ ตามลิงค์ด้านล่างนี้

คลิกอ่าน พระพุทธเจ้าสอนให้รวย

คลิกอ่าน การโจมตีเข็มทิศชีวิตแบบไม่ยุติธรรม



วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คำถามโง่ ๆ จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไปรบกับใคร (เรือดำน้ำ)






ไม่ว่ากองทัพไทยจะจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทีไร มักจะมีคนใช้คำถามโง่ ๆ ออกมาถามประชดว่า "จะซื้อไปรบกับใคร ยุคนี้เขาไม่รบกันแล้ว ควรเอาเงินไปพัฒนาการศึกษาหรือพัฒนาการสาธารณสุขดีกว่า"

ถ้าฟังแบบเผิน ๆ ดูเหมือนจะดีนะคำถามแบบนี้ แต่ที่จริงแล้ว เป็นคำถามที่โง่มาก ที่ถามว่า จะซื้ออาวุธไปรบกับใคร แล้วทำเป็นยกเอาเรื่องดี ๆ มาตบท้ายประโยคว่า เอาไปช่วยการศึกษา เอาไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ดีกว่า อะไรทำนองนี้

ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เช่นกรณีล่าสุดคือเรื่องที่ กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำ ก็จะมีพวกออกมาคัดค้านทำนองจะเอาไปรบกับใคร เศรษฐกิจแย่แบบนี้ควรเอาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่า

เฮ่อ.. คนที่ออกมาต่อต้านพวกนี้เป็นพวกที่คิดในมุมโลกแคบมาก ๆ

ก่อนอื่น ผมขอยกเรื่องราวในประวัติศาสตร์การรบทางทะเลของกองทัพเรือไทย ในสมรภูมิยุทธนาวีเกาะช้าง มาเป็นตัวอย่างก่อนแล้วกัน


เรือดำน้ำของไทยในอดีต

เหตุการณ์การรบของกองทัพเรือไทยกับเรือรบฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2484 หรือเมื่อประมาณ 76 ปีที่ผ่านมา

หลายคนคงไม่รู้ว่า ที่เรือรบฝรั่งเศสต้องรีบถอนเรือรบกลับไปไซง่อนครั้งนั้น เพราะเรือรบฝรั่งเศสทราบข่าวว่า เรือดำน้ำของไทย 4 ลำ กำลังเดินทางกลับมาประจำการรบในสมรภูมิครั้งนี้ 

ใครไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ก็ลองไปหาศึกษาดูครับ

ถามว่า ถ้าเมื่อร่วม ๆ 80 กว่าปีก่อน กองทัพเรือไทยไม่มีวิสัยทัศน์ซื้อเรือดำน้ำมาไว้ใช้การในตอนนั้น จะมีอะไรไปขู่ให้เรือรบฝรั่งเศสรีบล่าถอยกลับไป ?

คำถามโง่ ๆ เกี่ยวกับเรือดำน้ำที่กองทัพเรือกำลังจะซื้อ เช่น อ่าวไทยเป็นทะเลตื้น มีความลึกเฉลี่ยแค่ 50 เมตร จะซื้อเรือดำน้ำมาก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ไม่คุ้ม

ขอตอบว่า ยุทธวิธีของเรือดำน้ำเขาไม่ได้มีไว้ปฏิบัติการณ์ในอ่าวไทยเป็นหลักสักหน่อย เขามีเรือดำน้ำไว้ออกไปสกัดข้าศึกศัตรูนอกอ่าวไทยในเขตน้ำลึกเพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้ามาในอ่าวไทยง่าย ๆ โว้ย

แล้วเรือดำน้ำที่สั่งซื้อจากจีนนี่กินน้ำลึกแค่ 6.7 เมตรเท่านั้น จึงสามารถเข้าออกอ่าวไทยได้อย่างสบาย ๆ

ที่สำคัญ ประเทศไทยไม่ได้มีแค่ฝั่งอ่าวไทยเท่านั้น ไทยยังมีฝั่งอันดามันที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านมหาสมุทรอินเดียอีกที่ต้องปกป้องดูแล

ไทยเรามีแผนว่าจะมีเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ ในขณะที่สิงคโปร์มีอยู่แล้ว 2 ลำและกำลังจะมีอีก 4 ลำในอนาคต ซึ่งทุกประเทศในอาเซียนก็มีแผนจะมีเรือดำนำกันทั้งนั้น จะมีแค่กัมพูชา บรูไน ติมอร์ และลาว เท่านั้นที่ยังไม่มีแผนจะมีเรือดำน้ำ

ส่วนไทยเราในอดีตคึอชาติที่ 2 ในเอเซีย และเป็นชาติแรกในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำ

ที่จริงผมเห็นด้วยกับการที่มีคนออกมาตรวจสอบความคุ้มค่าหรือไม่ในการซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย

แต่ผมรำคาญไอ้พวกชอบใช้ตรรกะและคำถามโง่ ๆ ที่ว่า จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไปรบกับใครนี่แหละ ไอ้พวกนี้มันคงเป็นประเภทต้องรอให้โจรมาเหยียบถึงหัวนอนก่อน แล้วค่อยคิดล้อมรั้วบ้านมั้ง

แล้วถ้ากองทัพเรือเปิดเผยข้อมูลของเรือดำน้ำจนหมด ก็เท่ากับเปิดเผยยุทธศาสตร์ความลับทางการทหารให้ชาติอื่นได้รับรู้จนหมด ซึ่งไม่มีชาติไหนเขาเปิดเผยความลับทางการทหารกันจนหมดหรอก

--------------

ทุกวันนี้กองทัพไทยพยายามลดขนาดกองทัพและกำลังพลลงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อลดขนาดกองทัพลง ก็ต้องเสริมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้นมาทดแทน

ไอ้พวกที่ต่อต้านทั้งการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แถมยังต่อต้านการเกณฑ์ทหารอีก บอกตรง คนพวกนี้เกิดมาเพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศชาติโดยแท้ คือเป็นประเภทมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

หากบ้านเมืองเกิดปัญหาสงคราม เชื่อผมได้เลย ไอ้พวกที่ต่อต้านกองทัพและเกลียดทหาร น่ะ ไอ้พวกนี้จะเป็นพวกแรกที่หนีไปต่างประเทศ หรือไม่ก็ไปสวามิภักดิ์ข้าศึกศัตรูแน่นอน

ประเทศไทยของเราใช้งบประมาณเพื่อการศึกษาต่อจีดีพีสูงอยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก แต่คุณภาพการศึกษาของคนไทยกลับห่วยที่สุดในอาเซียน แพ้กระทั่งเขมร เพราะอะไรรู้ไหม ? 

ก็เพราะมีไอ้พวกชอบใช้ตรรกะโง่ ๆ ที่ชอบถามว่า จะซื้ออาวุธไปรบกับใคร  มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นนี่แหละครับ 

-------------------

ส่วนคำถามที่ว่า จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไปรบกับใคร ผมไม่มีเวลาเขียนในบทความนี้มากนัก จึงขอตัดข้อความจากเพจของผมมาลงแทนแล้วกันครับ



--------------------------



"การมีกองทัพที่เข้มแข็ง ย่อมทำให้ยุทธวิธีทางการทูตง่ายมากขึ้น"


เกิดเป็นคนต้องรู้จักหัดแยกแยะ เฉกเช่นร่างกายของคนเรา ก็ต้องบำรุงให้ครบทุกด้าน ไม่ใช่เน้นแต่การศึกษา แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย ไม่กินอาหารให้ครบหมู่ และไม่รู้จักพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายก็ไปไม่รอด

ประเทศชาติก็เหมือนกัน จะเอาแต่ทุ่มงบประมาณเพื่อการศึกษาให้พวกไอคิวและอีคิวต่ำเรียนแบบฟรี ๆ อย่างเดียว แต่พวกแม่งกลับเรียนไม่เอาถ่าน จนประเทศชาติไม่ต้องมีงบประมาณมาปกป้องประเทศบ้างเลย ก็คงไม่ถูกต้องแล้วครับ จริงไหม

แม่ง เรียนก็ไม่เอาไหน แถมท้องก่อนวัยอันควรสูงสุดในเอเซีย ซ้ำยังชอบยกพวกตีกันเป็นประจำ ชอบซิ่งมอเตอร์ไซค์โดยไม่สวมหมวกกันน็อคจนตายห่าหรือบาดเจ็บสูงที่สุดในโลก จนประเทศต้องสิ้นเปลืองงบประมาณรักษาพยาบาลเกินควร ไอ้พวกนี้แหละตัวถ่วงประเทศชาติตัวจริง

ถ้าคนไทยไม่ตายเพราะอุบัติเหตุบนถนนสูงที่สุดในโลก ไทยเราจะมีโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งแน่นอน หรืออาจมีกองทัพที่มียุทโธปกรณ์ทันสมัยกว่านี้อีกหลายเท่าก็ได้ ถ้าอยากเข้าใจมากกว่านี้ ไปอ่านบทความข้างล่างนี้ต่อเลยครับ

คลิกอ่าน จากสี่แยกวังหิน ไปจนถึงนั่งท้ายรถกระบะ คือดัชนีชี้วัดระเบียบวินัยคนไทย

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผันกับหลักความย้อนแย้ง






วันก่อนผมได้ฟังคลิปที่ฝรั่งมันสอนเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน มีทฤษฎีนึงที่สอนว่า

"ถ้าคุณชอบใคร แล้วเขาก็ดูเหมือนจะชอบคุณด้วย ก็ให้คุณจงปฏิบัติต่อเขาเหมือนปฏิบัติต่อคนที่คุณไม่ชอบ หรือปฏิบัติต่อคนที่คุณเกลียด"

เช่น แกล้งเย็นชาใส่ แกล้งปฏิเสธ แกล้งเล่นตัว แกล้งไม่รับโทรศัพท์ หรือแกล้งตอบข้อความกลับช้า แล้วคนที่คุณชอบจะยิ่งคลั่งไคล้คุณมากขึ้น

หรือถ้าใคร ๆ เรียกคนที่คุณชอบด้วยชื่อเล่นของเขากันทั้งนั้น คุณก็จงแกล้งไม่เรียกชื่อเล่นของเขา เพื่อให้เขาคิดว่า คุณไม่สนใจเขา ไม่อยากสนิทสนมกับเขา แล้วเขาจะยิ่งสนใจคุณมากขึ้น

หรือเช่น จงอย่าชมคนที่คุณชอบมากเกินไป แต่จงชมแบบน้อย ๆ หรือแกล้งไม่ชมเลย แล้วเขาจะยิ่งชอบคุณมากขึ้น

*****

คือ ผมเห็นด้วยนะว่า วิธีการที่ฝรั่งมันสอนอาจเป็นวิธีการที่ได้ผลเร็ว

แต่ผมมาวิเคราะห์ว่า ฝรั่งมันมองความสัมพันธ์ของคนเหมือนเป็นเกม แล้วใช้หลักการใส่หน้ากากล่อหลอกกัน

ซึ่งแม้จะได้ผล แต่ผลลัพท์ก็คงเหมือนสังคมฝรั่งเป็นกันมาก คือ รักง่ายหน่ายเร็ว ไร้ความจริงใจต่อกัน ความสัมพันธ์ไม่ค่อยยั่งยืน เพราะเล่มเกมแห่งความสัมพันธ์นี่แหละ

แล้วลองนึกดูว่า ถ้าทั้งสองฝ่ายที่คบกันต่างรู้จักวิธีนี้เหมือนกัน แล้วต่างใช้วิธีแบบนี้ปฏิบัติต่อกัน คุณผู้อ่านความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มันจะลงเอยยังไงล่ะ ?

เอาเป็นว่า ผมไม่ชอบทฤษฎีความสัมพันธ์ในข้อนี้ที่ฝรั่งมันเลย

สำหรับผมนะ เชื่อในความจริงใจมากกว่า

คือหากคิดจะคบกันด้วยความจริงใจ ก็ไม่ต้องมีแผนการณ์หรือเกมใด ๆ ต่อกัน แม้จะมีโอกาส่ประสบความสำเร็จในความสัมพันธ์ได้ช้ากว่าที่ฝรั่งมันสอน แต่ถ้าสำเร็จแล้วมันจะเจอคนที่จริงใจต่อเราอย่างยั่งยืน

เพราะความจริงใจจากคนนั้นหายาก ประหนึ่ง เพื่อนกินเพื่อนเมาเพื่อนเที่ยวหาง่าย แต่เพื่อนที่ยอมตายแทนกันได้หายาก

เขาถึงว่า พิสูจน์ใจหญิงต้องดูตอนผู้ชายตกยาก พิสูจน์ใจชายให้ดูตอนผู้ชายร่ำรวย

อ้อ ลืมบอก ฝรั่งมันเรียกวิธีการนี้ว่า ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผัน

คุณผู้อ่านอาจจะลองไปทดลองใช้ดูก็ได้ เขาว่า ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์ กับเพื่อน กับเจ้านาย กับลูกน้อง กับญาติ ฯลฯ

แต่ผมแนะนำให้เลือกใช้ดี ๆ นะ คือไม่รู้มันจะเป็นบาปด้วยหรือเปล่าน่ะ เพราะการแกล้งต่อกัน หากทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่สบายใจ มันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี

ที่จริงฝรั่งมันยังมีสอนอีกทฤษฎีคือ อย่าทำตัวเป็นของตาย

ผมฟังแล้ว บางตัวอย่างอย่างก็ดี แต่บางตัวอย่างที่ฝรั่งมันสอน ผมไม่ชอบเอามาก ๆ เลย มันอาจเป็นการสร้างความฉานและความทุกข์ของอีกฝ่ายได้ แถมดูไม่ค่อยจริงใจต่อกัน วิธีมันก็ดูเวิร์คนะ แต่เราชาวพุทธไม่ค่อยเหมาะนักในบางวิธีการ เช่น ผู้ชายหากิ๊กหรือมีเมียน้อยเพื่อเรียกร้องให้เมียหลวงหวงและรักเขามากขึ้น

หรือการทำตัวแบบโปรยเสน่ห์ไปทั่ว เพื่อให้อีกฝ่ายหวงมากขึ้น

แต่ที่ผมชอบอยู่อย่างที่ฝรั่งมันสอน ก็คือ มันสอนเรื่องอย่ายึดมั่นถือมั่น เช่น อย่าไปยึดว่า เธอคือโลกทั้งหมดของฉัน ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้ ถ้าทำแบบนี้ คนที่ถูกชอบมากกว่า เขาจะยิ่งเล่นตัวและจะมองอีกฝ่ายเป็นของตาย

วิธีนี้ผมพอจะชอบหน่อย

-------------------------

แล้วทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผัน ต้องแก้ด้วยทฤษฎีอะไร



คำตอบคือ หลักความย้อนแย้ง

เช่น ที่ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผัน ได้สอนว่า จงแกล้งเย็นชา แกล้งปฏิเสธ แกล้งเล่นตัว หรือเช่น แกล้งไม่รับโทรศัพท์ แกล้งตอบข้อความช้า กับคนที่คุณชอบ นั้น

แต่มันมีข้อแม้อยู่ว่า เขาก็ต้องมีใจชอบคุณกลับด้วยเช่นกัน การใช้ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผันจึงจะได้ผล ทำให้เขาชอบหรือคลั่งไคล้คุณมากขึ้น

แต่ถ้าคุณใช้ทฤษฎีผกผันนี้กับคนที่คุณชอบ แต่เขาไม่ได้ชอบคุณเลย หรือไม่ได้เห็นคุณเป็นคนสำคัญของเขาเลย

คนที่คุณชอบเขาฝ่ายเดียว เขาย่อมไม่รู้ว่า คุณกำลังเย็นชาใส่เขา หรือสงสัยว่าคุณกำลังตอบข้อความของเขาช้า

นั่นเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจความผิดปกติของคุณ ไม่ได้เดือดร้อนที่คุณหายไป เพราะเขาไม่ได้ห่วงคุณเลย

แต่หลักความย้อนแย้งต่างหากที่จะหวนกลับมาเล่นงานคุณเอง

-------------

ทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผันข้อต่อมา เช่น ให้คุณแกล้งไม่เรียกชื่อเล่นของคนที่คุณชอบ (ซึ่งเขาต้องชอบคุณเช่นกัน) ในขณะที่ทุกคนต่างเรียกเขาด้วยชื่อเล่น

ทฤษฎีผกผันบอกว่า ถ้าทำแล้วจะทำให้เขาคิดว่า คุณไม่ได้อยากสนิทสนมกับเขาแล้วจะยิ่งทำให้เขาชอบคุณมากขึ้นนั้น

แต่ในหลักความย้อนแย้งมันกลับสื่อว่า การที่คุณไม่ยอมเรียกชื่อเล่นของเขาเหมือนคนอื่น ๆ นั้น นั่นแสดงว่า คุณกำลังพยายามทำตัวเป็นคนพิเศษสำหรับเขา

ซึ่งถ้าคนที่คุณชอบ เขารู้จักทฤษฎีความสัมพันธ์ผกผันด้วย เขาก็จะชอบที่คุณไม่กล้าเรียกชื่อเล่นของเขาเหมือนที่คนอื่น ๆ เรียก นั่นเพราะคุณเห็นเขาเป็นคนพิเศษ

หรือถ้าคุณเรียกคนโน้นคนนี้ด้วยชื่อเล่นได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่คุณกลับไม่กล้าเรียกคนที่คุณชอบด้วยชื่อเล่น นั่นแสดงว่า เขาคือคนพิเศษสำหรับคุณ

----------------------

หลักความย้อนแย้ง กับ เรื่องอย่าทำตัวเป็นของตาย

แต่ถ้าใช้หลักความย้อนแย้งมองกรณีนี้ ก็จะพบว่า

คนที่ถูกคุณมองว่า เขาเป็นของตายนั้น แสดงว่า เขารักคุณจริง หรือจริงใจกับคุณจริง ๆ จนทำให้คุณเกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยไว้ใจว่า เขาจะไม่ทิ้งคุณไปไหน

ซึ่งคนเราพอรู้สึกว่าใครเป็นของตาย ก็จะเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วอยากจะออกไปหาของเป็นที่น่าตื่นเต้น น่าค้นหามากกว่า

แต่เมื่อคุณผิดหวังจากของเป็น แล้วคิดจะหวนกลับมาหาคนที่คุณคิดว่า เป็นของตายสำหรับคุณนั้น

แต่หลักย้อนแย้งอาจจะสอนคุณว่า บางทีคุณอาจพลาดเสียคนที่จริงใจกับคุณไปอย่างไม่มีวันหวนคืนอีกก็ได้

เพราะของตายได้ตายจากคุณไปแล้วจริง ๆ เพราะหัวใจของคนทุกคนไม่มีใครอยากทุกข์ไปตลอดชีวิตอย่างไร้ความหวัง

ฉะนั้นจงทะนุถนอมคนที่คุณคิดว่า เขาเป็นของตายของคุณเอาไว้ให้ดี

อย่าเพิ่งมาเห็นคุณค่าเมื่อได้สูญเสียของตายไปแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

ความโง่มาตรา 112 ของหงอกเจียม กรณีสมเด็จพระนางเจ้าฯ






สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แกนนำล้มเจ้าที่หนีหางจุดตูดไปอยู่ฝรั่งเศสแล้ว เพื่อไปเป็นเศษฝรั่ง มันได้แสดงความเห็นบนเฟสบุ๊คเกี่ยวกับ กฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ณ เวลานี้ มาตรา 112 ไม่คุ้มครองสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ แล้ว

ตามรูปนี้




ในกรณีพระองค์ที ตามมาตรา 112 ไม่คุ้มครองพระองค์น่ะถูกต้อง เพราะพระองค์ยังไม่ได้เป็นรัชทายาท

แต่กรณีสมเด็จพระนางเจ้าฯ ในรัชกาลที่ 9 นั้น ที่หงอกเจียมอ้างว่า มาตรา 112 ไม่คุ้มครองพระองค์แล้วนั้น หงอกเจียมโชว์โง่เต็มที่

คือ หงอกเจียมมันตีความแบบโง่ ๆ เองว่า มาตรา 112 จะคุ้มครองเฉพาะพระราชินีในรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น นี่ก็คือความโง่ของหงอกเจียม ซึ่งไม่ใช่นักกฎหมาย จึงมักตีความโง่ ๆ ทุกเรื่องที่มันมีอคติ อย่างเช่นกรณี "พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์" เป็นต้น

ก่อนอื่นเรามาทบทวน ประมวล กม.อาญา มาตรา 112 ให้ชัดเจนกันอีกครั้งก่อนครับ

มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

จากเนื้อหากฎหมาย มาตรา 112 ไม่ได้มีระบุเลยว่า จะคุ้มครองเฉพาะพระราชินี เฉพาะในรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น

ดังนั้น มาตรา 112 จึงคุ้มครองสมเด็จพระราชินี ในทุก ๆ รัชกาลนั่นแหละ หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีที่ทรงสวรรคตไปแล้ว หากมีใครนำพระองค์มาหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้าย ให้พระองค์เสียพระเกียรติ ก็เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ทั้งนั้น

ซึ่งประเด็นเรื่องอดีตพระมหากษัตริย์ และพระราชินีในรัชกาลก่อน ๆ นั้น ถ้าผมจำไม่ผิดหงอกเจียมก็เคยโชว์โง่ว่า มาตรา112 ไม่คุ้มครอง รู้สึกจะเป็นกรณีรัชกาลที่ 4

คุณผู้อ่านลองคิดง่าย ๆ นะครับ ถ้าอยู่ ๆ มีใครออกมาตะโกนด่าพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อน ๆ หรือมาใส่ร้ายป้ายสีรัชกาลก่อน ๆ ผมถามว่า กฎหมายมาตรา 112 จะไม่คุ้มครองหรือ ?

ลองใช้สามัญสำนึกคิดนะครับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงพระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ อยู่ ๆ จะให้ใครมากล่าวหาด่าทออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ในทางเสียหายโดยไม่มีกฎหมายคุ้มครองได้หรือ ?

สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษโดยเฉพาะ

เช่นเดียวกัน สมเด็จพระราชินีในทุก ๆ รัชกาล เมื่อทรงเป็นพระราชินีแล้ว ก็ทรงเป็นตลอดไป แม้ในหลวงของพระราชินีพระองค์นั้น ๆ จะทรงสวรรคตไปแล้วก็ตาม จริงไหมครับคุณผู้อ่าน

แม้ต่อไป สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จะได้รับพระราชทานสถาปนาพระนามใหม่เพิ่มเติมจากรัชกาลที่ 10 ก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ว่า พระองค์คือ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และจะทรงเป็นตลอดไป

เมื่อทรงเป็นพระราชินีตลอดไป มาตรา 112 ก็จะต้องคุ้มครองพระองค์ตลอดไปเช่นเดียวกัน 



คลิกอ่าน ความโง่ของหงอกเจียม กรณี สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์




counter statistics