วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

1 ก.ค. 58 ถึงเวลางดกินอาหารทะเลสักระยะ







ก็เพราะ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมนี้ คสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง จะทำการจับเรือประมงที่ผิดกฎหมายทั้งหลาย แถมมีค่าปรับสำหรับเรือที่ผิดกฎหมายมากถึง 1 ล้านบาทต่อลำ

เหตุผลก็คือนับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40 ปีมาแล้ว ที่รัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา ปล่อยปละละเลยเอาจริงเอาจัง ไม่กวดขันจับเรือประมงที่ผิดกฎหมาย จนทำให้ทางอียู และสหรัฐอเมริกา เขาอาจจะแอนตี้สินค้าประมงของไทย หากรัฐบาลไทยไม่เร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ที่ว่าเรือประมงไทยผิดกฎหมายนั้น หมายถึง

1. ปัญหาการค้ามนุษย์หลอกคนไปทำงานบนเรือประมง ซึ่งตั้งแต่ 1 ก.ค. 58 ลูกเรือประมงทุกคน จะต้องมีใบประกอบอาชีพประมงมายืนยัน เพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์

2. ใช้อวนลากในการจับปลา ซึ่งผิดกฎหมายการทำประมงสากล ซึ่งเรือประมงไทยที่ไม่ใช่เรือประมงพื้นบ้าน เรือประมงเดินสมุทรของไทย 90 % ล้วนใช้อวนลาก อวนรุน และเครื่องมือประมงแบบล้างผลาญทั้งสิ้น ซึ่งมันทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างมาก

3. เรือประมงไม่มีใบอาชญาบัตร หรือมีอาชญาบัตรแต่ไม่ถูกต้อง คือ ใบอาชญาบัตรเครื่องมือประมงไม่ตรงกับเครื่องมือที่เรือประมงใช้ทำประมงจริง เพราะเรือประมงส่วนใหญ่ใช้อวนลาก ซึ่งผิดกฎหมาย

4. เรือประมงไม่ขึ้นทะเบียนเรือให้ถูกต้อง เปรียบเสมือนรถยนต์ที่ไม่มีทะเบียนนั่นแหละ

ทีนี้ทางรัฐบาล คสช. ก็ประกาศให้เวลา 2 เดือน คือ เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน ให้เรือประมงผิดกฎหมายทุกลำไปแก้ไขให้ถูกกฎหมายเสีย เพราะตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 58 เป็นต้นไป เจ้าหน้าที่จะทำการจับกวาดล้างเรือประมงผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด

แต่ผู้ประกอบการเรือประมงส่วนใหญ่บอกว่า ให้เวลาแก้ไขแค่ 2 เดือนคงเปลี่ยนแปลงเรือทั้งหมดทั่วประเทศคงไม่ทัน จึงเรียกร้องขอให้รัฐบาล คสช.ขยายเวลาแก้ไขเรือเพิ่มอีก 60 วัน ได้ไหม เพราะถ้าไม่ขยายเวลาออกไปอีก เชื่อว่า เรือประมงส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะต้องหยุดเดินเรือ

ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อการขาดแคลนอาหารทะเล และกระทบถึงแรงงานจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประมงไปทั้งหมด

แต่รัฐบาล คสช. ไม่ยอมรับข้อเสนอขอต่อเวลา 60 วัน เพราะผ่อนผันมานานแล้ว

ที่สำคัญช่วงประกาศให้เรือประมงมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง และทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีเรือประมงสนใจมาทำให้ถูกต้องเท่าที่ควร ส่วนใหญ่ต่างลอยชายไม่สนใจเปลี่ยนแปลง




ดังนั้น ตั้งแต่ 1 ก.ค. 58 นี้ เรือประมงจำนวนมากจำเป็นต้องหยุดทำประมง ซึ่งอาจจะกระทบให้อาหารทะเลช่วงนี้ขาดแคลนหรือราคาแพงขึ้นอย่างแน่นอน

ฉะนั้น ผมเลยมาบอกคุณผู้อ่านไว้ก่อนว่า ถ้าช่วงนี้อาหารทะเลแพง หรือ ขาดแคลน ก็มาจากปัญหาเรือประมงหยุดทำประมงนี่แหละครับ

ไม่ใช่เรือประมงหยุดเพื่อประท้วงนะครับ แต่เขาจำใจต้องหยุด เพราะถ้าไม่หยุด แล้วเกิดโดนจับ อาจเจอปรับมากถึง 1 ล้านบาทต่อลำ (ที่จริงก็คือประท้วงกดดันแฝงกลาย ๆ)

ที่จริงผมว่า ก็ดีไปอย่างนะ เพราะถือเสียว่า ทะเลไทยจะได้พักผ่อนจากการถูกอุตสาหกรรมประมงย่ำยีมานานหลายสิบปี

ถ้าเป็นไปได้ พวกเราก็หยุดกินอาหารทะเลสักระยะ ก็น่าจะดี เพื่อท้องทะเลไทยของเราดีขึ้น


---------------------------

30 มิถุนายน 58 นายกฯ ประยุทธ์ ยืนยันไม่ผ่อนผัน เอาผิดเรือประมงผิดกฎหมายตามกำหนด



นายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคนนี้ ขอยึดหลักความถูกต้องของกฎหมายมากกว่าถูกใจ หรือเอาใจชาวประมง

เพราะเข้ามาทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่อหวังคะแนนเสียง

แม้พวกผู้ประกอบการประมง อ้าง การหยุดเดินเรือจะกระทบแรงงานนับหมื่นคนจะตกงาน (ส่วนใหญ่คือแรงงานต่างด้าว) อ้างกระทบราคาอาหารทะเลจะแพงขึ้น

นี่คือการนำคนจนและประชาชนมาเป็นตัวประกันของผู้ประกอบการเรือประมง เพื่อหวังให้รัฐบาล คสช. ผ่อนผันให้ทำผิดกฎหมายต่อไปได้อีก ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมายกันมาไม่ต่ำกว่า 40 ปีมาแล้ว

หมดเวลาผ่อนผัน ยึดหลักกฎหมายไม่เลือกปฏิบัติ นี่คือ เจตนาของนายกฯ ประยุทธ์





วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมื่อคดีคำรณวิทย์ถึงคราวซวยซ้ำซ้อน






คดีคำรณวิทย์โดนจับที่ญี่ปุ่น ข้อหาพกอาวุธปืนและกระสุนขึ้นเครื่องบิน ดูจะยิ่งยากและหนักหนาสาหัสกว่าเดิมแล้วครับ

เมื่อสำนักพิสูจน์หลักฐานของญี่ปุ่น ได้ตรวจพบว่า ปืนเล็กของคำรณวิทย์เป็นปืนเถื่อน ที่ไม่มีการจดทะเบียนและเสียภาษีในไทย

ทำให้ทางตำรวจญี่ปุ่นค่อนข้างมั่นใจว่า ปืนเถื่อนกระบอกนี้ของคำรณวิทย์ น่าจะนำออกมาจากประเทศไทย

และเมื่อปืนของกลาง เป็นปืนเถื่อน ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่คำรณวิทย์จะหลุดคดี ได้กลับมาไทยยากขึ้นกว่าเดิม เพราะคนเป็นถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ กลับพกปืนเถื่อน แบบนี้โทษในญี่ปุ่นถือว่า โทษหนักยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

เพราะคำแก้ตัวของคำรณวิทย์ในตอนแรกที่ว่า ลืม และไม่เจตนา ก็จะยิ่งฟังไม่ขึ้นในกรณีปืนเถื่อนแบบนี้

พูดง่าย ๆ ว่า แม้ทางการไทยจะพยายามวิ่งเต้นช่วยเหลือ ก็คงลำบากล่ะครับ ดีไม่ดี ถ้าทางการไทยยิ่งไปยุ่งกับกฎหมายญี่ปุ่นมาก ๆ จะกลายเป็นชี้ชัดว่า มาตรฐานกฎหมายไทยถูกทำลายทางอ้อมเสียเอง

ข่าวล่าสุดแจ้งว่า ลูกชายคำรณวิทย์ได้นำเอกสารเกี่ยวกับทะเบียนอาวุธปืนไปมอบให้ตำรวจญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งผลปรากฏว่า เป็นเอกสารของปืนคนละกระบอกกันครับ

--------------------------

คำรณวิทย์ซวยซ้ำซ้อนอีก

เรื่องปืนเถื่อนก็ว่า คำรณวิทย์ซวยซ้ำซ้อนแล้ว แต่ยังมีกรณีซวยซ้ำซ้อนหนักเข้าไปอีกก็คือ

ถ้าทางการท่าอากาศยานของไทยยังยืนยันเสียงแข็งมั่นคงว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยได้ตรวจกระเป๋าทุกใบของคำรณวิทย์แล้ว ก็ไม่พบปืนของคำรณวิทย์จริง ๆ คำรณวิทย์ไม่ได้นำปืนกระบอกดังกล่าวออกจากประเทศไทยแน่นอน

ทางตำรวจญี่ปุ่นก็จะเพ่งเล็งไปอีกประเด็นก็คือ ปืนเถื่อนนี้คำรณวิทย์ได้แต่ใดมา หรือว่า พวกยากูซ่าเพิ่งมอบให้ ?? 

หรือคำรณวิทย์เพิ่งไปแอบซื้อในตลาดมืดที่ไหนในญี่ปุ่น

ถ้าทางการญี่ปุ่นสืบจนได้ความว่า พวกยากูซ่ามอบปืนให้คำรณวิทย์จริง ๆ หรือคำรณวิทย์ได้ไปซื้อปืนมาจากตลาดมืดของพวกยากูซ่ามา

โทษของคำรณวิทย์ก็จะยิ่งหนักกว่าเดิมอีก อาจติดคุกยาว ๆ ร่วม 20 ปี แปลง่าย ๆ คือ ถ้าทางการท่าอากาศยานยิ่งยืนยันหนักแน่นมากเท่าไหร่ว่า ปืนกระบอกนี้ไม่ได้ถูกนำออกจากประเทศไทย 

แปลว่า งานนี้ แจ๊ส ก็ติดคุกยาว ๆ ที่ญี่ปุ่นแน่นอนครับ แถมกลายเป็นคดีรุนแรงจนทางการญี่ปุ่นได้สั่งห้ามญาติเยี่ยมแล้ว


สำนวนไทยวันนี้เสนอคำว่า แจ๊สถูกลอยแพ !!

ย้ำนะครับว่า ถึงตอนนี้แล้ว คสช. สตช.  และกระทรวงการต่างประเทศ อย่าไปยุ่งกับคดีคำรณวิทย์อีก ไม่งั้นภาพลักษณ์ไทยจะยิ่งแย่ในสายตาคนญี่ปุ่น

------------

เอกสารสำคัญผูกมัดปืนของคำรณวิทย์ออกจากไทยแน่นอน

บทสัมภาษณ์ของคำรณวิทย์ ในอดีตสมัยยังเป็น พล.ต.ต. กับสื่อฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับอาวุธปืนที่เขาครอบครอง (ขอบคุณรูปจากเฟสบุ๊ค)

มีพูดถึงปืนกระบอกเล็กที่เป็นคดีในตอนนี้ด้วย ตอกย้ำว่า ปืนกระบอกนี้ครอบครองไว้นานแล้ว และคงออกจากประเทศไทยไปญี่ปุ่นแน่นอน

คลิกที่รูปเพื่อขยาย !!


กระบอกที่ 2 พกติดตัวเป็นปืนลูกโม่ North American Arms ขนาด .22 บรรจุ 5 นัด ด้ามเป็นพลาสติกพับเก็บได้ เหน็บเข็มขัดเหมือนพกแพ็กลิงค์ ไม่มีใครรู้ ... เล็กขนาดนี้ คำรณวิทย์บอกระยะ 100 หลา ไม่มีพลาด


เว้นกรณีเดียว คือ ปืน .22 North American Arms ที่ถูกจับที่ญี่ปุ่นอาจเป็นปืนกระบอกใหม่ที่คำรณวิทย์เพิ่งจะได้มา คือเป็นปืนคนละกระบอกกับที่คำรณวิทย์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตามรูปด้านบน

เพราะมีจุดสังเกตอยู่ตรงที่ ลูกชายคำรณวิทย์ได้นำเอกสารปืนรุ่นเดียวกันนี้ไปให้ทางการญี่ปุ่นแล้ว

แต่ทางการญี่ปุ่นกลับบอกว่า ไม่ใช่เอกสารของปืนที่เป็นของกลาง !!!

เพราะปืนที่เป็นของกลาง ทางญี่ปุ่นตรวจสอบแล้วว่า มันคือ ปืนเถื่อน !!

คลิกอ่าน คดีคำรณวิทย์ คสช. ต้องช่วยกระทืบซ้ำ


วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คดีคำรณวิทย์ถูกจับที่ญี่ปุ่น คสช.ต้องกระทืบซ้ำ !!







คสช. และ สตช. กรุณาอย่าเสือกไม่เข้าท่า ในเมื่ออดีตนายตำรวจไทยไปทำผิดพกอาวุธปืนพร้อมกระสุนอีก 5 นัดขึ้นเครื่องบินญี่ปุ่น จนถูกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจับได้

ย้ำ!! ตรวจเจอทั้งอาวุธปืน .22 Magnum north american arms และกระสุนอีก 5 นัด

หมายเหตุ โทษพกอาวุธจำคุกไม่เกิน 10 ปี โทษพกกระสุนจำคุกไม่เกิน 5 ปี รวม 2 คดี โทษจำคุกมากถึง 15 ปี



นเป็นถึงนายพลตำรวจ จะมาอ้างว่า ลืม หรืออ้างไม่เจตนา ย่อมอ้างไม่ได้ ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ใช่เด็กอมมือ หรือไม่รู้กฎหมาย

เรื่องพกอาวุธขึ้นเครื่องบินนี่ มันต้องเล่นงานตั้งแต่สนามบินของไทยเราเอง ว่าปล่อยให้เอาขึ้นไปได้ยังไง

แล้วฝ่ายไทยก็ไม่ต้องไปวิ่งเต้นช่วยเหลือล่ะ งานนี้ควรปล่อยให้ทางการญี่ปุ่นเขาทำงานอย่างสบายใจเถอะ

ไม่งั้น จะกลายเป็นว่า 2 มาตรฐาน เพราะทีประชาชนทำผิดก็ยังติดคุกได้ เช่นกรณีสาวไทยขโมยตุ๊กตาที่ญี่ปุ่น

แล้วนี่ คนเป็นถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ ทำผิดแล้วไม่ต้องติดคุกจะถูกต้องหรือ ?

ที่จริงทางการไทยควรต้องกระทืบซ้ำ ด้วยซ้ำ เพราะทำชื่อเสียงประเทศเสียหาย ยิ่งเขาขึ้นธงแดงระบบการบินของไทยอยู่ด้วย ว่า หละหลวมไม่ปลอดภัย!!

ทางการไทยควรปล่อยให้มันติดคุกที่ญี่ปุ่นนั่นแหละดีแล้ว อย่าไปวิ่งเต้นขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาล่ะ เปลืองภาษีชาติ !!! 

แถมจะพาขายขี้หน้าญี่ปุ่นเขาด้วย

ย้ำ !! คสช. ต้องช่วยกระทืบซ้ำ เพราะเคยเป็นถึงอดีตนายตำรวจใหญ่มาก ดันกระทำผิดเสียเอง แล้วญี่ปุ่นเขาจะคิดยังไง ?

ถ้าใคร ๆ ก็ตาม ที่พกปืนขึ้นเครื่องบินที่ญีุ่่ป่น แล้วโดนจับได้
ก็มาอ้างว่า ผมลืม ผมไม่ได้เจตนา

ถ้าใคร ๆ ก็อ้างแบบนี้กันหมด แล้วไม่มีความผิด กฎหมายมันก็ไม่เป็นกฎหมายแล้วจริงไหม ?

ตรรกะวิบัติ คล้าย ๆ ตรรกะของสมีนะจ๊ะจริง ๆ

กฎหมายญี่ปุ่น เขาประเภท "ใหญ่แค่ไหนก็จับ" โว้ย

กฎหมายญี่ปุ่น เขาไม่ 2 มาตรฐาน เหมือนกฎหมายไทยโว้ย

กฎหมายญี่ปุ่นไม่ใช่ ประเภท "ผมมีวันนี้เพราะพี่ให้ !!!"

สาธุ ขอให้แม่งติดคุกหัวโตที่ญี่ปุ่นเถิด !!



คำรณวิทย์ ในชุดนักโทษญี่ปุ่น

--------------------------



หากอัยการญี่ปุ่น มีคำสั่งฟ้องบิ๊กแจ๊ส คำรณวิทย์ ว่า กระทำความผิดจริง (อัยการญี่ปุ่นมีเวลาพิจารณาคดีได้ 20 วัน)

แจ๊ส อาจติดคุกถึง 10 ปี ข้อหาพกอาวุธและกระสุนขึ้นเครื่องบินในญี่ปุ่น

กรณี แจ๊ส ลูกน้องทักษิณ นี้แสดงให้เห็นว่า อภิสิทธิ์ชนมีจริงในสังคมไทย คือ มันผ่านการตรวจที่สนามบินสุวรรณภูมิไปได้ยังไง

พวกเสื้อแดงหายโง่รึยัง ว่าที่พวกมึงต้องการความเท่าเทียมกันน่ะ พรรคพวกลิ่วล้อของทักษิณ มันยังใช้ความอภิสิทธิ์ชนกันอยู่เลย แถมใช้ซะเคยตัว

ข่าวว่า ถ้าแจ๊สต้องติดคุก 10 ปีที่ญี่ปุ่น โอกาสจะขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาไทย ก็ต้องติดคุกญี่ปุ่นอย่างน้อย 1 ใน 3 ของโทษก่อน ก็ติดคุกประมาณ 3 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อย

ส่วนการท่าอากาศยาน ก็แถลงเรื่องนี้แบบเลือกขอตายโทษสถานเบากว่า คือ อ้างว่า ได้ตรวจค้นแล้วทั้งตัวของคำรณวิทย์ และได้ตรวจค้นกระเป๋าเดินทางที่โหลดไว้ใต้เครื่องด้วยเครื่องสแกนแล้วด้วย ตามระเบียบ

แต่ไม่พบอาวุธ !!

สรุปง่าย ๆ คือ ทางการท่าอากาศยาน ไม่กล้ายอมรับผิดว่า ได้ปล่อยคำรณวิทย์เดินขึ้นเครื่องแบบอภิสิทธิ์ชน โดยไม่ผ่านการตรวจ

แต่การท่าอากาศยาน ขอแถลงว่า ตรวจค้นแล้วแต่ไม่เจอ คงคิดว่า โทษจะได้เบาขึ้นใช่ไหม

คสช. ครับ นายกฯ ลุงตู่ครับ ปลดแม่งยกแผงเลยครับ เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด 

----------------

นับว่ายังโชคดีนะ ที่คำรณวิทย์ โดนจับคดีพกอาวุธปืนที่ญี่ปุ่น

เพราะถ้าโดนจับที่สิงคโปร์ล่ะก็ ประหารชีวิตสถานเดียวครับ

คลิกอ่าน คดีคำรณวิทย์ถึงคราวซวยซ้ำซ้อน



วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พิธีแห่นางแมว ช่วยฝนตกได้จริงหรือไม่







อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยผมเรียนอยู่ ม. 3/1

มีอยู่วันหนึ่ง ครูประจำชั้นซึ่งสอนวิชาวิทยาศาสตร์ของผมไม่มา ก็เลยมีครูสอนชีววิทยาจากชั้น ม.ปลาย มาสอนแทน

ในวันนั้น ครูชีววิทยาก็สอนวิทยาศาสตร์ทั่วไปแบบสบาย ๆ หลายเรื่อง แบบให้นักเรียนไม่เครียด เพื่อปูแนวทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง

จนกระทั่งมาถึงเรื่อง พิธีแห่นางแมว

จากที่ครูชีวิทยาคนนี้ได้ปูพื้นฐานเหตุการทางธรรมชาติตามหลักวิทยาศาสตร์มาพอสมควรแล้ว

ครูชีววิทยาจึงได้ถามนักเรียนว่า "พิธีแห่นางแมว ช่วยให้ฝนตกได้จริงหรือไม่?"

นักเรียนทุกคน ต่างร่วมกันตะโกนตอบไปว่า ไม่ !!

แต่ดันมีเสียงหนึ่งต่อท้ายจากคำว่า ไม่ ด้วยคำว่า แน่ !!

กลายเป็น ไม่แน่ !!

ทำให้นักรียนทุกคนในห้องเงียบกริบทันที แล้วหันมาทางเจ้าของเสียงนั้น ซึ่งก็คือ เสียงของผมนั่นเอง

ครูชีววิทยาก็หันมาที่ผมด้วย พร้อมกับเรียกผม "ไหน ๆ มึงว่า ไม่แน่ มึงออกมาอธิบายเลย"

แล้วผมก็ออกไปหน้าห้อง เพื่ออธิบายเรื่องนี้

"เราคงรู้กันแล้วว่า ที่ใดมีความชื้นในอากาศมาก ก็มีโอกาสที่ฝนตกได้มากกว่าที่ ๆ ไม่มีความชื้นในอากาศใช่ไหม 

อย่างเช่น ที่ ๆ ใกล้ทะเลก็ย่อมมีโอกาสเกิดฝนตกได้ง่ายกว่า ที่ ๆ ห่างไกลจากทะเล 

หรือที่ ๆ มีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น เช่นป่าไม้ ป่าต้นน้ำ ซึ่งจะมีความชื้นในอากาศอยู่มากเช่นกัน ก็ย่อมมีโอกาสเกิดฝนตกได้มากกว่าที่ ๆ เป็นทะเลทรายจริงหรือไม่ ?

แม้ในภาคอีสานจะแห้งแล้งทุรกันดาร แต่ก็ยังมีโอกาสที่ฝนจะตกได้เช่นกัน 

แล้วถ้าเกิดมีเมฆฝนกำลังลอยมา หากชาวบ้านมาช่วยกันสร้างความชื้นในอากาศให้มากขึ้น เช่น สาดน้ำ ก็ย่อมทำให้มีความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น ย่อมมีโอกาสเกิดฝนตกได้มากขึ้นจริงหรือไม่ ?

ส่วนการแห่นางแมว มันเป็นแค่กุศโลบาย เพื่อช่วยในการรวมกลุ่มของผู้คนเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ซึ่งปัจจัยหลักที่จะทำให้ฝนตกมันอยู่ที่ความชื้นในอากาศที่เพียงพอ

ดังนั้น การสาดน้ำในประเพณีแห่งนางแมว แม้จะดูงมงาย แต่ก็ไม่แน่นะ มันอาจช่วยให้ฝนตกได้บ้างไม่มากก็น้อยจริงไหม ?"

หลังจากผมอธิบายจบ ครูชีววิทยาก็ไม่มีอะไรจะด่าผม คงได้แต่บอก "มึงกลับไปนั่งที่ได้แล้ว"

จบ...




---------------------

ถ้าเราสังเกตดี ๆ ในช่วงหน้าร้อนสุด ๆ ในช่วงสงกรานต์ อากาศร้อนจัด ผู้คนเลยเอาน้ำมาสาดเล่นกันเพื่อคลายร้อนและความสนุกสนาน

เคยสังเกตไหม ช่วงสงกรานต์มักมีฝนตก !!!

และโดยมากพิธีแห่นางแมวจะกระทำกันในช่วงฤดูฝน เพราะฝนเกิดทิ้งช่วงไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ดังนั้นโอกาสที่พิธีแห่นางแมวจะประสบผลสำเร็จก็มีมาก เพราะเหตุประจวบเหมาะเกิดขึ้นได้ง่ายในฤดูฝนครับ

ซึ่งในยุคปัจจุบัน และนับตั้งแต่มีกฎหมายทารุณกรรมสัตว์ การแห่นางแมวก็จะไม่สาดน้ำใส่แมวกันจริง ๆ แล้ว ก็จะแค่แห่เอาพอเป็นพิธี เชิงสัญลักษณ์ ซึ่ง

ล่าสุด ก็มีการแห่นางแมวเอาเคล็ดด้วยการแห่แมวการ์ตูนญี่ปุ่นแทน 555



บทความนี้เป็นแค่วัยคะนองกล้าท้าทายครูของผม คุณผู้อ่านก็อย่าคิดมากนะครับ


วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผู้ป่วยไวรัสเมอร์สรายแรกในไทยกับ 30 บาทรักษาทุกโรค






ผมว่า บางทีมันก็ไม่ยุติธรรมเลย

นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทำหมอย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนเพียบ เพราะทนงานหนักรายได้น้อยไม่ไหว

แล้วโรงพยาบาลเอกชนเครือข่ายทักษิณ ก็ได้หมอดี ๆ ไปรักษาพยาบาลให้ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางมากที่สุด ที่เดินทางมารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนของไทย

อย่างกรณี วันนี้ได้พบผู้ป่วยโรคเมอร์สในไทยแล้ว เป็นชาวโอมานวัย 75 ปี ที่ตั้งใจเดินทางมารักษาโรคที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งของไทย เขามาพร้อมกับญาติอีก 3 คน เขาเข้าใจว่า อาการหอบเหนื่อยมาจากโรคหัวใจ

แต่พอโรงพยาบาลเอกชนตรวจพบว่า ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่ป่วยเป็นโรคไวรัสเมอร์ส สุดท้ายโรงพยาบาลเอกชนก็ส่งตัวผู้ป่วยมาโรงพยาบาลของรัฐบาลไทย คือ สถาบันบำราศนราดูร

โรงพยาบาลบำราศนราดูร เลยต้องดูแลทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยทั้งหมดไว้ รวมทั้งสืบตามหาคนขับแท็กซี่อีก 2 คนที่รับชาวโอมานกลุ่มนี้

ก็เข้าใจนะว่า โรคร้ายแรง โรงพยาบาลของรัฐบาลไทยก็ต้องรีบเข้ามารับผิดชอบ เพื่อป้องกันการระบาด

แต่ที่เกาหลีใต้ โรงพยาบาลซัมซุง ซึ่งโรคพยาบาลเอกชนของเกาหลีใต้ที่พบผู้ป่วยไวรัสเมอร์สรายแรก และเป็นโรงพยาบาลมีผู้ป่วยติดเชื้อโรคนี้มากที่สุดในเกาหลีใต้ด้วย เขายังไม่ผลักภาระไปให้โรงพยาบาลรัฐบาลต้องรับผู้ป่วยไว้เลย

ทีเรื่องได้เงินเยอะ ๆ โรงพยาบาลเอกชนไทยรับไว้เอง แต่ทีโรคร้ายแรง โรงพยาบาลของรัฐต้องรับไป

แม่งโคตรยุติธรรมเลยว่ะ !!!

ที่สำคัญโรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ป่วยชาวโอมานไปรักษาที่แรก ก็ไม่มีการรายงานข่าวว่า โรงพยาบาลเอกชนนั้นชื่อโรงพยาบาลอะไร ????

ขอถามว่า จะปิดชื่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นไปทำไม ?

จริง ๆ ผมก็พอรู้นะว่า โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นชื่ออะไร ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เคยออกรายการทีวีแล้วบอกว่า ผู้ป่วยที่มารักษาที่นี่มาจากตะวันออกกลางมากที่สุด

ชื่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ก็ชื่อคล้าย ๆ บำราศนราดูร นี่แหละ  คุณผู้อ่านลองไปคิดเองเถิดว่า ชื่อโรงพยาบาลอะไร ??

คลิกอ่าน จากลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ถึง 30 บาทรักษาทุกโรค


วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วันนี้ประเทศไทยควรมีบ่อนคาสิโนแล้วรึยัง ?







ประเด็นเรื่องบ่อนคาสิโนในไทยนั้น ผมว่า ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ว่าจะเลือกเข้าข้างฝ่ายไหน

แต่ผมจะขอยกตัวอย่าง กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ทุกรัฐบาลไทยพยายามจะสนับสนุนให้เกิดขึ้น ส่วนฝ่ายต้านก็ต้านกันสุดฤทธิ์ จนโดนยิงตายไปก็หลายคนแล้ว

คือที่ประเทศมาเลเซียเขามีโรงไฟฟ้าถ่านหินโรงใหม่แล้ว แต่ !! แต่ก่อนหน้านี้มาเลเซียเขาก็ถูกประชาชนต่อต้านเช่นกัน

แล้วมาเลเซียแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง ?

มาเลเซียเขาก็ไปสร้างเกาะกลางทะเล เพื่อตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ขึ้น เพื่อไม่ให้ประชาชนที่เกรงเรื่องปัญหามลพิษด่าครับ ทั้ง ๆ ที่โรงงานไฟฟ้าถ่านหินของมาเลเซียได้มาตรฐานป้องกันมลพิษอย่างดี

ทีนี้เรื่องคาสิโนในประเทศไทยล่ะ ไปสร้างเกาะกลางทะเลดีไหม ??

หรือว่าจะอนุญาตให้เฉพาะเรือสำราญหรูที่ลอยกลางทะเลมีคาสิโนได้เท่านั้น ? แล้วคนที่จะไปเล่นต้องมีเงินบัญชีในธนาคารไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทรับรอง

สงสัยทีนี้จะมีเรือคาสิโนลอยกันเต็มอ่าวไทยแหง ๆ

โดยปกติเรือสำราญต่างประเทศที่อยู่ในน่านน้ำสากลก็สามารถมีบ่อนคาสิโนได้อยู่แล้ว

ถ้าถามความเห็นผมนะ ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่จะมีคาสิโน โดยเฉพาะคาสิโนที่ตั้งบนผืนแผ่นดินไทย (แต่ถ้าไปอยู่ในทะเลก็ลองพิจารณากันดู)


ขนาด เหล้า ก็ผิดศีล 5 ซึ่งเป็นศีลขั้นพื้นฐาน แต่ไทยเราก็มีเหล้าขายเกร่อ ตายเพราะเมาแล้วขับก็เพียบนะ เมาแล้วไปก่ออาชญากรรมก็เพียบนะ ทั้ง ๆ ที่เหล้าขวดละไม่กี่ร้อยบาท

ส่วนที่เขาเล่าลือกัน เขาเล่าลือกันว่า มีประเทศหลายประเทศในเอเซียที่มีบ่อนคาสิโน จะช่วยกันลงขันใช้เงินวิ่งเต้นให้ NGO ในไทยให้ออกมาต่อต้านการที่ประเทศไทยจะมีบ่อนคาสิโนทุกครั้งที่ไทยนำเรื่องนี้มาพิจารณาครับ

แต่ประเด็นที่น่ากลัวของไทย ไม่ได้อยู่ที่ว่าควรมีบ่อนคาสิโนหรือไม่ แต่อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมาของไทยมักหย่อนยานเสมอ

ระวังจะเป็นประเภท ความวัวไม่ทันจะหาย ดันไปหาความควายมาให้เป็นปัญหาซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก

------------------

ผมจำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยดูสารคดีของฝรั่งเรื่อง เจ้าพ่อคาสิโนของมาเก๋า

นอกจากสารคดีจะนำเสนอข้อดีของบ่อนคาสิโนในมาเก๋าแล้ว สารคดีเขาก็ได้ยังนำเสนอถึงข้อเสียของการมีบ่อนคาสิโนในมาเก๋าอีกด้วย

ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วล่ะว่า สารคดีได้นำเสนอข้อเสียของการมีบ่อนคาสิโนในมาเก๋าไว้อย่างไรบ้าง เพราะก็ดูหลายปีมาแล้ว เลยลืมหมด

ถ้าจำไม่ผิด คนมาเก๋าไม่ค่อยอยากเรียนสูง เพราะอยากแค่มาทำงานในคาสิโนเท่านั้น ถ้าเราดูฮ่องกง กับ มาเก๋า จะเห็นว่า ฮ่องกงมีธุรกิจหลากหลายมากมาย ในขณะที่มาเก๋าก็มีเด่นแค่คาสิโน

แต่ธุรกิจการพนันทุกอย่างไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อดีเท่านั้นหรอกครับ มันต้องมีข้อเสียอยู่ด้วยทั้งนั้น

เอาแค่ง่าย ๆ เรื่องล๊อตเตอรี่ไทย ก็มีข้อเสียเพียบเลยจริงไหม ??


มีผู้เชี่ยวชาญบางท่านบอกว่า บ่อนคาสินโน คือแหล่งฟอกเงินชั้นดีของอาชญากร เพราะยากที่จะตรวจสอบว่า ที่มาของเงินนั้นมาจากที่ไหน

อึม..ประเด็นนี้น่าคิด ๆ

แต่ที่แน่ ๆ นายกฯ ลุงตู่ บอกนักข่าวว่า "อย่ามาถามเรื่องคาสิโน เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทย ตอนนี้ผมสนใจแต่ปัญหาภัยแล้ง สนใจแต่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกรยังไงดี เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่ามาถามตอนนี้"

จบมะ สมyes !!


-----------------

ฝากให้คิด

ถ้าไทยเปิดคาสิโนจริง ๆ  คาสิโนไทยก็คงต้องจำกัดให้เฉพาะคนที่มีฐานะดี มีหลักทรัพย์สูงเพื่อค้ำประกันเครดิตที่จะเข้าไปเล่นในคาสิโนได้ จริงไหม ?

แต่นักพนันไทยที่แห่ไปเล่นการพนันในคาสิโนตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่เห็นต้องมีหลักค้ำประกันอะไรแบบนี้ให้ยุ่งยาก จริงไหม ?

เพราะคาสิโนในแต่ละประเทศก็มักจำกัดการเข้าไปเล่นของคนในชาติตัวเองอย่างเข้มงวด แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติมาเล่น เขาจะปล่อยให้เข้าไปเล่นได้ตามสบาย

ฉะนั้น ถ้าคิดจะเปิดคาสิโนในไทยเพื่อแก้ปัญหานักพนันไทยกลุ่มนี้ ย่อมไม่มีทางแก้ไขได้แน่นอน  เพราะพวกนี้เดินทางไปเล่นพนันในประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ หรือมีสเตทเม้นท์ค้ำประกันอะไรทั้งสิ้น

แล้วที่สำคัญ นักพนันระดับชาวบ้าน ๆ เช่น บ่อนไพ่ บ่อนไฮโลเถื่อนต่าง ๆ พวกนี้ก็เข้าไปเล่นในคาสิโนของไทยไม่ได้อยู่ดี ก็คงต้องเล่นในบ่อนเถื่อนต่อไป

แล้วยิ่งไปกว่านั้น คนรวย ๆ ที่ไม่โง่ เขาจะไปเล่นหุ้นในตลาดหุ้นดีกว่ามาเล่นการพนันในบ่อนคาสิโน

แล้วถ้าคาสิโนไทยเกิดเปิดให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย ๆ คนไทยเป็นชาติที่มักขาดความยับยั้งชั่งใจ ขนาดเล่นหวย ก็เล่นหวังรวยทางลัด หวังรวยแบบไม่ต้องทำงาน

ขนาดหวยรัฐ หวยใต้ดิน คนไทยก็บ้าจนหมดตัว ไม่สนใจทำมาหากินเยอะแยะ นี่ถ้าไทยมีคาสิโนจริง ๆ .... เฮ่อ... คงรู้กันนะ


------------------

สิงคโปร์ใจดีจริงเหรอ ?

2-3 วันก่อนมีข่าวว่า คาสิโนคอมเพล็กซ์ของสิงคโปร์ ยินดีจะเชิญสื่อมวลชนไทยไปดูงานที่คาสิโน อ้างว่า เห็นคนไทยกำลังสนใจเรื่องคาสิโน

คุณผู้อ่าน ว่า มันตลกดีไหมครับ ?

คือ ทำไมคาสิโนของสิงคโปร์ ต้องออกมาสนับสนุนแถมเชิญสื่อไทยไปเที่ยวชมกิจการ ??

หรือว่า ที่แท้ที่กระแสคาสิโนในไทยกำลังฮอต ก็เพราะสิงคโปร์อยากจะมาลงทุนสร้างคาสิโนในไทยเอง ??

เพราะสิงคโปร์คิดว่า ประเทศไทยสามารถดึงดูดการท่องเที่ยวแบบครบวงจรได้ดีกว่า ไปเล่นคาสิโนที่สิงคโปร์

แปลง่าย ๆ คือ แทนที่จะเป็นคู่แข่งกับไทย ก็สู้มาลงทุนเองในไทยดีที่สุด



วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผมนี่โคตรฮิปสเตอร์ หรือไม่ก็โคตรไม่ฮิปสเตอร์กันแน่วะ






บทความนี้เขียนเอาสนุก ๆ นะครับ เรียกว่าเกาะกระแสกะเขาหน่อย

เคยได้ยินมานานแล้วกับคำว่า Hipster แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่จะลองเขียนดูเล่น ๆ

เขาว่า ฮิปสเตอร์ ต้องชอบขี่จักรยาน แถมต้องจักรยานสไตล์เท่ ๆ ด้วย ซึ่งราคาก็คงแพงด้วยใช่มะ

แต่ผมขี่จักรยานราคาคันละ 1,990 บาททรง BMX แต่มีตะกร้าข้างหน้า เอาไว้ซื้อของกินของใช้แถวบ้าน อย่างคันล่าสุดที่ใช้ก็ใช้มา 5 ปีมาแล้วล่ะ เปลี่ยนยางในและยางนอกแล้วทั้งล้อหน้า ล้อหลัง เพราะขี่มาเป็นร้อยกิโลเมตรแล้ว เพราะบางครั้งผมขี่ไกลร่วม 10 กิโลเมตรต่อวัน

โดยผมไม่เคยรู้สึกเลยว่า ที่ผมขี่จักรยานกระจอก ๆ ราคาถูก ๆ แล้วจะไม่เท่

แต่ผมกลับรู้สึกว่า ผมนี่โคตรเท่เลยที่สามารถขี่จักรยานราคาถูกได้อย่างภาคภูมิใจโดยไม่อายใคร และรู้สึกคุ้มค่ามากที่ขี่จักรยานคันนี้มาหลายปีก็ยังไม่พัง


เขาว่า ฮิปสเตอร์ ต้องดูหนังแนวนอกกระแส แบบหนังแนวอาร์ตทิสต้องตีความแบบเท่ ๆ เช่นหนังที่ฉายในโรง House RCA อะไรทำนองนี้รึเปล่า ?

แต่ผมน่ะเหรอ เลิกดูหนังในโรงภาพยนตร์มานานร่วม 15 ปีแล้ว เพราะผมชอบดูบิ๊กซีนีม่าทางช่อง 7 มากที่สุด เพราะชอบเสียงพากย์ของนางเอกมาก ๆ ชอบดูหนังที่มีโฆษณาคั่นมาก ๆ ด้วย แถมนอนดูก็ได้

สำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องไปหาที่จอดรถ ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋ว

แค่ดูหนังทางบิ๊กซีนีม่าของช่อง 7 ผมก็สุขใจแล้ว ไม่รู้สึกตื่นกระแสว่า หนังใหม่ต้องรีบไปดู สำหรับผม หนังมาฉายช่อง 7 เมื่อไหร่ก็ดูเมื่อนั้นนั่นแหละ


เขาว่า ฮิปสเตอร์ต้องไปนั่งดื่มกาแฟในร้านสวยเท่ ๆ ในร้านสไตล์แตกต่าง แบบมีศิลป์ ใช่มะ

แต่ผมนี่ ไม่เคยไปกินกาแฟในร้านกาแฟเลย ไม่ว่าจะร้านไหน ๆ ก็ตาม เพราะความสุขของผม ก็แค่ชงกาแฟกินเองที่บ้าน ก็มีความสุขโขแล้ว

อีกอย่างคือ ผมกินกาแฟพร่ำเพรื่อในเวลาต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ เพราะถ้ากินกาแฟเกิน 1 แก้วต่อวันทีไร นอนหลับยาก หรือนอนไม่ค่อยหลับทุกที

ร้านกาแฟสวย ๆ แพง ๆ ไม่ได้แอ้มเงินผมหรอก เพราะผมไม่เคยนึกอยากไปนั่งกินกาแฟสบาย ๆ ชิว ๆ แบบนั้นเลย



เขาว่า ถ้าอยากให้คนรู้ว่าเราแม่งฮิปสเตอร์ ก็ต้องมีกล้องมือถือไว้แชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คให้คนอื่น ๆ ร่วมรับรู้ความเป็นฮิปสเตอร์ของเราใช่ไหม ?

แต่ผมยังไม่มีสมาร์ทโฟน ผมยังเป็นคนส่วนน้อยในประเทศนี้ ที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ ทั้ง ๆ ที่จะซื้อใช้เมื่อไหร่ก็ซื้อได้ เพราะราคามันไม่แพงแล้ว แต่ผมกลับไม่ยอมซื้อมาใช้สักที ซึ่งปัญหาของผมไม่ได้อยู่ที่ราคาโทรศัพท์ แต่อยู่ที่ค่ายมือถือยังไม่แฟร์กับผู้บริโภค

อีกอย่างผมรู้สึกว่า ไม่ชอบการเป็นคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าดูโทรศัพท์ ผมชอบที่จะมองผู้คน สภาพแวดล้อมรอบตัวผม แบบนี้ผมมีความสุขมากกว่า

แล้วพอไม่ได้ซื้อสมาร์ทโฟนใช้ ผมกลับยิ่งภูมิใจในตัวเองว่า ผมนี่เจ๋งว่ะ ที่ฝืนกระแสมาได้จนวันนี้ แต่สักวันผมคงต้องไปตามกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง คงฝืนเทคโนโลยีไม่ได้ แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่นอน



เมื่อผมไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ ก็เซลฟี่แชร์บนโลกออนไลน์ไม่ได้  ผมนี่โคตรนอกเทรนเขาเลยว่ะ 55555



เขาว่า ฮิปสเตอร์ต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแนวสบาย ๆ มีสไตล์แต่เท่ ใช่ไหม

แต่ผมนี่โคตรชอบใส่เสื้อยืดที่มียี่ห้อสินค้า เช่น เสื้อกระทิงแดง เสื้อมิชลิน เสื้อเสือ 11 ตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือเสื้อยืดของห้างร้านหรือหน่วยงานที่เขาผลิตแจกให้ใส่ฟรี ๆ นี่แหละ ผมชอบมาก ถ้าใส่ไปไหน ๆ  แบบชิว ๆ ที่ไม่มีพิธีรีตรอง


เขาว่า ฮิปสเตอร์ ชอบแสดงตัวตน ให้คนรู้จักว่า ฉันเท่ในสไตล์ที่แตกต่างใช่ไหม

แต่สำหรับผม ผมนี่โคตรไม่อยากเป็นจุดเด่นในสังคมเลย ผมอยากเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครมอง เวลาผมเดิน ก็จะเดินแบบคนปกติที่ธรรมดาที่สุดจนไม่มีใครสังเกตเห็นผม



เขาว่า ฮิปสเตอร์ต้องรักสัตว์ ต้องแชร์รูปสัตว์ที่ตนเองรักด้วยใช่ไหม 

แต่การรักสัตว์ของผม คือ การไม่เลี้ยงสัตว์เลย เพราะผมถือว่า การเลี้ยงสัตว์อาจกลายเป็นเราทำบาปโดยไม่รู้ตัวหรือทำบาปแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ เพราะสัตว์พูดภาษาคนไม่ได้

ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเข้าใจความต้องการของสัตว์ได้ทุกอย่างหรอก หากเราเลี้ยงสัตว์เพียงเพราะสนองกิเลสของเราเอง บางทีสัตว์มันอาจไม่ชอบก็ได้

ดังนั้นการรักสัตว์ที่ถูกต้องที่สุดสำหรับความเห็นของผมคือ อย่าไปยุ่งกับเขาน่ะดีที่สุด



เขาว่า ฮิปสเตอร์ ต้องรักธรรมชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติแบบเท่ ๆ (เป็นไงวะ?)

พวกฮิปสเตอร์เขามักไปท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม แล้วถ่ายรูปแบบเท่ ๆ เห็นวิวทิวทัศน์เยอะ ๆ  แต่เห็นด้านหลังของตัวเองนิดนึงเพื่อความเท่

แต่สำหรับผมนะ เดี๋ยวนี้ผมไม่อยากไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของไทยแล้วล่ะ

เพราะผมรู้สึกว่า การรักธรรมชาติและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ดีที่สุดคือ เราต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเหล่านั้นเลยจะดีที่สุด ไม่ต้องไปแย่งกันเที่ยว เพราะยิ่งเป็นการทำลานสิ่งแวดล้อม

ปล่อยให้ธรรมชาติถูกมนุษย์รบกวนน้อยที่สุด คือ สิ่งที่ดีที่สุดในการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เพราะยิ่งมีคนไปท่องเที่ยวมากเท่าไหร่ ธรรมชาติของไทยกลับยิ่งถูกทำลายมากขึ้นเท่านั้น เพราะพวกหากินกับการท่องเที่ยวไทย มักเห็นแก่เงินมากกว่าจะรักษาธรรมชาติไว้ให้ลูกหลาน

เพียงแค่ผมยังรู้ว่า ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สวยงามหลงเหลืออยู่ไม่ว่าจะที่ใดในโลก ผมก็มีความสุขแล้ว โดยไม่ต้องพยายามพาตัวเองไปสัมผัสธรรมชาติแต่อย่างใด

แค่ผมได้ดูสารคดีทางธรรมชาติ แล้วเห็นว่า ธรรมชาติยังงดงามอยู่ ไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์ แค่นี้ผมก็สุขใจเพียงพอแล้วล่ะ



----------------

พอเขียนมาถึงตรงนี้ ผมรู้ตัวแล้วล่ะว่า ผมไม่ใช่ฮิปสเตอร์แหง ๆ

แต่ผมแค่เป็นแบบที่ผมอยากเป็นเท่านั้น โดยที่ผมไม่ต้องสนใจว่า ใครเขาจะคิดยังไง ตราบใดที่ผมไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอ

ซึ่งคนนิสัยแบบผมนั้น พวกนักธุรกิจเขาจะไม่ชอบเลย เพราะเขาจะบอกว่า คนอย่างผมทำให้เศรษฐกิจไม่หมุนเวียน

แปลง่าย ๆ ว่า คนอย่างผมนั้น พวกนายทุนเขาหลอกแดกได้ยากนั่นเองครับ

จบ!!


วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปรับค่าบริการเก็บขยะ กทม. ใหม่อย่างไรจึงจะยุติธรรม






นับตั้งแต่มีข่าวว่า กทม. จะเก็บค่าบริการเก็บขยะเพิ่มขึ้น ซึ่งลือถึงขนาดจะเก็บราคา 150 บาท/เดือน/หลัง  โดยเพิ่มจากราคาเดิมคือ 20 บาท/เดือน/หลัง ซึ่งเป็นข่าวในหลายวันที่ผ่านมา

อย่างน้อยก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแถวบ้านผมทันทีคือ รถขยะของสำนักงานเขตลาดพร้าวไม่มาเก็บขยะในหมู่บ้านของผมเป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็ม ๆ แล้ว

คือมาเก็บขยะครั้งสุดท้ายเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มิ.ย.2558 มาจนวันนี้คือ 7 มิ.ย. 2558 ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ก็ยังไม่มาเก็บสักที

ซึ่งโดยปกติ รถขยะจะมาเก็บในหมู่บ้านผม ทุก 2 วันครั้ง

ประชาชนอย่างผม ก็ต้องสันนิษฐานว่า ต้องเป็นเหตุจากข่าวขึ้นค่าบริการเก็บขยะแน่นอน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติแบบนี้ขึ้น

แต่ล่าสุด กทม. ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.58  ตามคลิปนี้




ถามว่า กทม. ควรเพิ่มค่าบริการจัดเก็บขยะหรือไม่ ?

ตอบ สมควรขึ้นราคาได้แล้ว เพราะค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย ค่าเงินเดือนพนักงาน และค่าอื่น ๆ จิปาถะ มันก็มีราคาเพิ่มขึ้นมานานแล้ว แต่ค่าเก็บขยะยังไม่เพิ่มมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ยุคผู้ว่า ฯ อภิรักษ์ มาจนวันนี้

ถามว่า จัดเก็บค่าขยะแบบไหนจึงจะเป็นธรรม ?

ตอบ ที่ผ่านมา การเก็บค่าขยะของกทม. มีความไม่เท่าเทียมกันอยู่พอควร เพราะคิดเหมาจ่ายทุกหลังในราคาเท่ากันหมด ทั้ง ๆ ที่ แต่ละบ้านมีสมาชิกในบ้านไม่เท่ากัน มีขยะไม่เท่ากัน

บางบ้านแทบไม่มีขยะเลย เพราะไปทำงานนอกบ้านแทบทั้งวัน บางบ้านมีคนอยู่แค่ 1- 2 คน เท่านั้น ในขณะที่มีบางบ้านดันมีผู้อาศัยนับสิบ ๆ คน มีขยะรอเก็บล้นถังของบ้านตัวเองตลอด

แต่ กทม. ดันเก็บราคาขยะ 20 บาท/เดือน/หลัง เท่ากันหมด

ทั้ง ๆ ที่ วิธีเก็บที่ยุติธรรมที่สุด ต้องเก็บตามจำนวนสมาชิกตามทะเบียนบ้านหลังนั้น ๆ จึงจะถูกต้องที่สุด

อย่างเช่น ถ้าในอัตราราคาค่าบริการเก่า ถ้าบ้านหลังหนึ่งมีสมาชิก 2 คน ก็เก็บไป 20 บาท เท่ากับในอัตราคนละ 10 บาทต่อคน /เดือน

เช่น ถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านถึง 10 คน ก็ต้องเก็บบ้านนั้นหลังละ 100 บาทต่อเดือน เป็นต้น

หรือถ้าไม่คิดตามจำนวนสมาชิกในบ้าน เพราะมีการย้ายเข้า ย้ายออก ตลอดเวลา ก็ควรคิดตามขนาดเนื้อที่ของบ้านแทน เช่น

ถ้าในอัตราจัดเก็บเดิม คือ 20 บาท/เดือน ก็ควรเก็บในขนาดบ้านที่มีเนื้อที่ไม่เกิน 50 ตร.วา เป็นต้น

ถ้าบ้านมีเนื้อที่ขนาดเกิน 50 ตร.วา เช่น  บ้านขนาด 60 ตร.วา ก็เก็บเพิ่ม 10 ตร.วา ต่อ10 บาท  ก็จะเป็น 30 บาทต่อเดือน เป็นต้น

-----------------------

ราคาค่าบริการเก็บขยะอัตราใหม่ ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ?

ตอนนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบนี้ได้ เพราะยังไม่มีการประชุมเพื่อกำหนดอัตราใหม่

แต่ที่แน่ ๆ ผมเชื่อว่า ได้เกิดปัญหาใน กทม. แล้วอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยรถขยะแถวบ้านผมก็กำลังประท้วงไม่มาเก็บขยะตามปกติเหมือนที่ผ่านมา

แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่า อัตราค่าบริการเก็บขยะใหม่ ไม่ควรแพงมากกว่าเดิมจนเกินไป จนประชาชนปรับตัวไม่ทันและรับไม่ได้

ตามความคิดผมนะ ผมว่า ควรจัดเก็บค่าขยะตามจำนวนสมาชิกในทะเบียนบ้านจะยุติธรรมที่สุด

ด้วยหลักการที่ว่า คนมากขึ้น ขยะมากขึ้น จ่ายมากขึ้น!!

เช่น คนละ 10 บาทต่อเดือน ถ้าบ้านไหนมีคนในทะเบียนบ้าน 5 คน ก็เดือนละ 50 บาทเป็นต้น

แล้วบ้านไหนที่อาจมีคนในทะเบียนน้อย แต่กลับมีหลังใหญ่ อาจมีคนรับใช้เยอะ ขยะก็ต้องเยอะตามไปด้วย อาจมองว่า ไม่ค่อยยุติธรรม

งั้นผมขอแนะนำเป็นตัวอย่างเช่น ถ้าพื้นที่บ้านใหญ่เกิน 200 ตร.วา ก็ควรเรียกเก็บค่าขยะต่อหัวที่ 20 บาทต่อคนต่อเดือน ก็น่าจะดี 

แล้วถ้าพื้นที่บ้านเกิน 400 ตร.วา ก็ให้เก็บค่าขยะต่อหัวที่ 30 บาทต่อคนต่อเดือนเป็นต้น 

แต่ทั้งหมดให้ยึดจำนวนคนตามทะเบียนบ้านเป็นหลัก

--------------

ถึงเวลาแล้ว ที่คนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับความจริงว่า ค่าขยะจะมาเก็บในราคาถูก ๆ แบบเดิมอีกไม่ได้ เพราะปัญหาขยะคือปัญหาที่รุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน

ลองนึกดู ถ้าบ้านคุณไม่มีรถขยะมาเก็บสักเดือนนึง หรือมาเก็บเดือนละครั้ง จะเป็นยังไง จริงไหม ?

จริง ๆ การเสนอว่าเก็บค่าขยะตกเดือนละ 150 บาทต่อเดือนนั้น ผมว่า มันออกจะเป็นฝ่ายเทศบาลกำลังจะหากำไรจากประชาชนในเรื่องการบริการของรัฐขั้นพื้นฐานนะ

ทั้งที่ขยะ ควรแปรสภาพให้เป็นมูลค่าเพิ่มในทางอื่น ๆ ได้ เช่น เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วนำมาขายให้ประชาชนอีกที แบบนี้สิถึงเรียกว่า ทำกำไรอย่างสร้างสรรค์ไม่ขูดรีดประชาชน


วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เมื่อเยาวชนไทยถามโอบามา ได้ไม่ฉลาดเลย







จากที่มี “คลิปข่าว” เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2558 ที่สร้างความฮือฮาบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก

หลังมีการเผยแพร่คลิปภาพบรรยากาศที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดโอกาสให้ตัวแทนเยาวชนจากประเทศต่างๆ เข้าพบพร้อมพูดคุยซักถามอย่างเป็นกันเอง

เมื่อตัวแทนเยาวชนประเทศไทย น.ส.เพ็ญศิริ บางศิริ ได้โอกาสลุกขึ้นถามโอบามาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ ว่า

“สวัสดีค่ะ ท่านประธานาธิบดี ดิฉันนางสาวเพ็ญศิริ บางศิริ จากประเทศไทย ฉันทำงานด้านการค้ามนษย์ในประเทศไทย ฉันจึงอยากจะถามว่า ถ้าคุณเป็นโรฮิงญา คุณอยากไปอยู่ประเทศไหน แล้วเพราะอะไร ?”

ประธานาธิบดี โอบามา หยุดคิดอยู่สักพัก แล้วตอบว่า  “ผมจะตอบคำถามอย่างกว้าง ๆ แล้วกัน สิ่งที่เราต้องพูดถึงคือ มีอะไรบ้างที่เมียนมาร์ต้องทำให้สำเร็จ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องการกีดกันทางเชื้อชาติ และชาวโรฮิงญาก็ถูกกีดกันอย่างชัดเจน  
ถ้าผมเป็นชาวโรฮิงญา ผมก็อยากจะอาศัยอยู่บนแผ่นดินที่ผมเกิด ผมอยากจะอยู่ในที่ ๆ พ่อแม่ของผมอยู่ และผมก็อยากมั่นใจว่า รัฐบาลจะให้ความคุ้มครองผม และคนอื่นจะปฏิบัติต่อผมอย่างเป็นธรรม มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องใช้ประชาธิปไตยเข้ามาแก้ปัญหาโรฮิงญาอย่างจริงจัง 

คุณจะไม่มีทางเข้าใจการถูกแบ่งแยกหรือกีดกัน จนกว่าคุณจะได้เจอกับตัวเองว่า คุณเป็นคนส่วนน้อยในสังคม ผมเคยเจอกับตัวเองมาแล้วเมื่อผมยังเป็นเด็ก ตอนที่ผมอยู่อินโดนีเซีย มีการต่อต้านคนจีนอย่างรุนแรง เราควรศึกษาว่า ทำไมสิงคโปร์ถึงทำสำเร็จ ในการรวมคนที่แตกต่างกันให้อยู่ร่วมกันได้ โดยทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่า ตัวเองเป็นพลเมืองของสิงคโปร์ 

แต่ผมมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ประเทศที่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา จะไม่มีวันทำสำเร็จ ประเทศที่กีดกันผู้หญิงจะไม่มีวันทำสำเร็จ เพราะผู้หญิงต้องสอนเด็ก ๆ แล้วเด็ก ๆ จะมีการศึกษาที่ดีได้อย่างไร ถ้าคุณไม่สอนแม่ของพวกเขา”




----------------

จริง ๆ จะว่าไป น.ส.เพ็ญศิริ ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ซึ่งน่าจะถามอะไรที่คม ๆ และเฉียบขาดกว่านี้ เพราะสิ่งที่เธอถามโอบามา มันคือ การชงให้โอบามาฟาดแท้ ๆ

แถมเป็นการชงโดยคนไทย เพื่อให้โอบามาได้โอกาสตำหนิพม่า !!!

ทำไมไม่เป็นเด็กมาเลเซียถาม เพื่อให้โอบามาตำหนิพม่า ?
ทั้ง ๆ ที่ผู้นำมาเลเซียเคยตำหนิพม่าในเรื่องนี้โดยตรง ?

ส่วนข้อมูลของ น.ส.เพ็ญศิริ บางศิริ” คือเธอเป็น “สมาชิก YSEALI” ชาวไทยทั้ง 7 คนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ YSEALI Professional Fellows Program ที่สหรัฐอเมริกา ระหว่าง พ.ค.ถึง ก.ค.ศกนี้ (2558) สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี

โครงการ YSEALI เป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดขึ้น

----------------

รั้งแรกที่ผมเห็นข่าวนี้ ผมกลับเฉย ๆ ไม่เห็นดีใจเหมือนที่สื่อไทยพยายามนำเสนอ ต่อมา ผมออกจะไม่ชอบข่าวนี้ด้วยซ้ำ ที่เธอตั้งคำถามเหมือนเข้าทางโอบามาไปหน่อย

เพราะเธอน่าจะถามโอบามาแบบนี้มากกว่า

"ถ้าคุณเป็นโรฮิงญาที่กำลังลอยเรือกลางทะเล คุณอยากไปขึ้นฝั่งที่ประเทศไหนมากที่สุด"

ต้องถามแบบนี้สิ โอบามาจะได้ตอบยากขึ้น

แม้ด้วยความฉลาดของโอบามา เขาก็คงสามารถดึงกลับไปตอบในแบบที่ตัวเองอยากจะตอบได้ก็ตาม แต่มันจะไม่ดูหล่อ ดูเท่เท่าเดิม เพราะจะกลายเป็นการเลี่ยงตอบคำถามตรง ๆ

แล้วการที่เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐอเมริกาเผยแพร่คลิปนี้ในเว็บ จนสื่อไทยเอามาเผยแพร่ต่อ แล้วสื่อไทยก็ร่วมอวยกันยกใหญ่ว่า เด็กไทยเก่ง เด็กไทยฉลาดถาม

ผมว่า เว่อร์ครับ เธอไม่ได้ฉลาดเลยที่ถามแบบนี้ เพราะข่าวรายงานว่า โอบามาได้ถือโอกาสขอบคุณ ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย (ประเทศที่โอบามาเคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก)

โดยที่โอบามา ไม่เอ่ยถึงประเทศไทยเลย นี่เท่ากับแอบฉีกหน้าประเทศไทยผ่านตัวแทนสาวไทยกลาย ๆ

(ก็ประเทศไทยไม่ยอมรับโรฮิงญา 7 พันคนขึ้นฝั่งเองนี่ ช่วยไม่ได้)

ผมจึงว่าสื่อไทยส่วนใหญ่ก็โง่ เพราะคำถามที่เด็กคนนี้ถาม ไม่ได้ช่วยให้ประเทศไทยดีขึ้นเลย แต่ที่สื่อไทยดันเห่อ ซึ่งกลับกลายเป็นการไปช่วยสร้างภาพให้โอบามา และสหรัฐอเมริกาดีขึ้นต่างหาก

ทั้ง ๆ ที่ ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริการับชาวโรฮิงญาไปอยู่ในประเทศตัวเองแค่ 1 พันคนเท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยมีชาวโรฮิงญาอยู่ประมาณ 1 แสนคน (ตามข้อมูลของสำนักข่าวอิศรา)

ส่วนคู่ซี๊สหรัฐ คือ อังกฤษ ประเทศต้นตอของปัญหาโรฮิญาตัวจริงกลับไม่สนใจปัญหานี้เลย แถม ออสเตรเลียประเทศลูกหม้ออังกฤษ ก็เพิ่งจะผลักดันเรือบรรทุกชาวโรฮิงญาออกจากน่านน้ำตัวเอง จนต้องหันเรือกลับไปอินโดนีเซียแทน

ทั้ง ๆ ที่ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่บอก อยากไปออสเตรเลียมากที่สุด มากกว่าประเทศมุสลิมด้วยซ้ำ

-----------------

แล้วการที่เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เขาเห็นว่า โอบามาตอบได้ดี เขาจึงได้นำมาลงเว็บ

เขาไม่ใช่เอาลงเพราะเด็กไทยถามดี หรอกครับ

ที่ผมเคยได้ยินมา ตามปกติเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เขาจะสกรีนคำถามของผู้ที่จะตั้งคำถาม ๆ กับประธานาธิบดีก่อน (กรณีไม่ใช่นักข่าว) โดยจะให้คนที่จะถามเขียนหัวข้อคำถามแบบคร่าว ๆ ให้เจ้าหน้าที่ได้สกรีนในชั้นแรกก่อน ว่าคำถามอะไรห้ามถาม หรือคำถามอะไรพอจะถามได้

แต่กรณีที่เด็กไทยถาม ก็คงไม่ต้องถึงกับต้องสกรีนคำถาม เพราะเยาวชนกลุ่มนี้คงได้รับการอบรมมาก่อนพอควร เพียงแต่ว่า หากจะแปลงคำถามสักนิดจะทำให้คำถามของเด็กไทยเฉียบคมมากกว่านี้ โดยไม่น่าเกลียดด้วย

ส่วนโอบามา ก็เหมือนอึ้งไปสักนิด แล้วถือโอกาสตอบแบบสไตล์นักการเมือง คือ พูดดีจนผู้ฟังเคลิ้มไป ประเภทหลักการดีแต่เรื่องของชาวบ้าน ส่วนเรื่องของบ้านตัวเอง บ่มิไก๊ 555

ขำ ๆ ท้ายบทความ





หากคิดในแง่ร้าย บางทีนี่อาจแค่ละครฉากหนึ่งที่มีการเตรียมการไว้แล้วทั้งผู้ถามและผู้ตอบ

ก็เด็กไทยคนนี้เธอไปด้วยทุนของสหรัฐอเมริกานี่

เพราะมายาในวงการเมืองของผู้นำสหรัฐ คุณน่าจะรู้ว่า เขาคือที่ 1 ในโลก

คลิกอ่าน ชีวิตไม่ธรรมดาของยิ่งลักษณ์เห็ดสด





counter statistics