วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

เซ็ง! ประเทศไทยดีที่สุดในอันดับที่ 21 ของโลก






พอดีเมื่อวันศุกร์ที่ 22 ม.ค. 2559 ที่ผ่านมา ผมได้ฟังรายงานข่าวทางวิทยุว่า มีเว็บไซค์ข่าวของต่างประเทศ คือ U.S.News & World Report ได้ประกาศผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลก โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในอันดับที่ 21 ของโลก จากประเทศที่ดีที่สุดใน 60 ประเทศของโลก

หลายคนอ่านข่าวได้ยินข่าวนี้นี้อาจภูมิใจว่า ประเทศไทยเรานี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

แต่สำหรับผมกลับไม่ภูมิใจเลย แล้วพอดีคอลัมภ์เปลวสีเงิน ในวันที่ 25 ม.ค. 59 ได้พูดถึงผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดครั้งนี้

ผมก็เลยได้แสดงความเห็นไว้ในคอลัมภ์ของป๋าเปลวสีเงิน ไว้ว่า


"ผมจะบอกป๋าให้ครับ ที่จริงผลสำรวจครั้งนี้ ผมไม่ภูมิใจเลยครับ

เพราะความจริง ไทยเราควรอยู่ในอันดับ 1 ของโลกด้วยซ้ำ หากไม่มีคนไทย

นี่อาจเหมือนผมไม่รักคนไทยเหรอ ถึงด่าคนไทย

ผมก็คนไทย จะไม่รักคนไทยได้อย่างไร แต่เราควรยอมรับความจริงว่า

ภูมิประเทศของไทยดีที่สุดในโลก ไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรงเหมือนประเทศอื่น ๆ มาตั้งแต่อดีตกาล

แต่เพราะฝีมือคนไทยนี่แหละครับ ที่ช่วยกันทำลายประเทศไทย ของดี ๆ ของไทย ป่าไม้ของไทย ทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามของไทย ต้องเสื่อมสภาพลง เพราะคนไทยเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน"





เคยมีนิทานเสียดสีประเทศไทยของฝรั่งเรื่องนึง ที่พระเจ้าสร้างประเทศไทยให้ดีหมดทุกอย่าง อากาศก็ดี ทรัพยากรก็ดีเลิศ ภัยรุนแรงทางธรรมชาติก็ไม่มี จนเหล่าเทวดาประท้วงพระเจ้าว่า

ทำไมพระเจ้าทรงลำเอียงให้ประเทศไทยมากเหลือเกิน

พระเจ้าก็เลยต้องส่งคนไทยมาเกิดในที่ ๆ มีชัยภูมิดีที่สุดในโลก เพื่อให้เกิดความสมดุลไม่ลำเอียง


สรุปนะครับ คนไทยชอบคิดว่า ตัวเองดีเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก สุดท้ายคนไทยเราเองน่ะกำลังล้าหลังจนชาติอื่น ๆ แซงหน้าเราไปไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่ก่อนมาเลเซียนี่ห่างไกลจากเราแบบเทียบกันไม่ได้ แต่วันนี้มาเลเซียเขาแซงหน้าเราไปแล้วครับ

หรือที่ กรุงเทพฯ คือเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลก ก็เพราะฝรั่งเขาไม่เคยเจอเมืองที่ไร้ระเบียบวินัยมากที่สุดในโลกจนสนุกและมันส์ได้ขนาดนี้ไงครับ

เช่น ฝรั่งสามารถหาซื้ออาหารกินในกรุงเทพฯ ได้อย่างง่ายดาย เพราะมีหาบเร่แผงลอยเต็มฟุตบาททั่วกรุงเทพฯ แถมกินเสร็จจะทิ้งขยะลงตรงไหนก็ได้ แล้วถ้าจะข้ามถนนในกรุงเทพฯ ก็ข้ามตรงไหนก็ได้ สนุกจริงโว้ยกรุงเทพฯ เนี่ย

คือกรุงเทพฯ น่าเที่ยวแต่ไม่น่าอยู่

ส่วนหนองคายที่ติดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในอันดับต้น ๆ ของโลกนั้น ก็เพราะไปสำรวจความเห็นพวกฝรั่งที่ต่อไปเมื่อแก่ตัวลง ฝรั่งมันอยากจะมีเมียไทยได้ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบสุขที่หนองคายครับ

อย่าโลกสวย อย่าหลอกตัวเองครับ ประเทศไทยควรดีที่สุดในโลก หากไม่มีคนไทย !!!

ถ้าไม่เข้าใจที่ผมเขียน แนะนำอ่านบทความนี้ครับ
"คนไทย แม่ง..ไม่แพ้ใครในโลกจริงๆ"
http://newake.blogspot.com/2013/10/blog-post.html

วันนี้ผมอาจเขียนซีเรียสไปนิด งั้นเอาขำขันแก้เครียดด้วยบทความนีครับ
"ขำขัน ตอน คนไทยเก่งที่สุดในโลก"
http://akecity.blogspot.com/2014/05/blog-post_25.html

แล้วที่ประเทศไทยยังรั้งอันดับที่ 21 ไว้ได้ ก็เพราะยังมีคนไทยที่ปฏิบัติตามคำสอนของในหลวงช่วยไว้ครับ ขอบอก !!!"

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

พระนักเลงเมธีธรรมาจารย์ รับเงินใครเพื่อหนุนสมเด็จช่วง









คุณประสาร เมธีธรรมจารย์ พระของนปช. ขู่ว่า

"กรณีที่มีองค์กร และกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น ในวันนี้เครือข่ายองค์กรชาวพุทธได้หารือกันถึงเรื่องที่มีองค์กร และกลุ่มคนออกมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ให้ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ทบทวนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เบื้องต้นทางองค์กรชาวพุทธ และพระสงฆ์กว่า 4 หมื่นรูปจาก 40 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมกำหนดท่าทีการดำเนินการเรื่องเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนี้

1.ให้รัฐบาลมีความชัดเจนในเรื่องนี้
2.ให้ดำเนินการตามกฎหมาย และประเพณีปฎิบัติ และ
3.หากไม่ดำเนินตามนั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะรวมกันแสดงสังฆามติ (ออกมาชุมนุม) ซึ่งองค์กรชาวพุทธ และพระสงฆ์ จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด

อาตมาอยากฝากถึงกลุ่มที่ออกมาค้านการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสมเด็จพระสังฆราชขอให้คำนึงถึงความถูกต้องอย่าสร้างเงื่อนไขและออกมายั่วยุขอความร่วมมือให้เวลารัฐบาลได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าจะออกมาวัดกันที่มวลชน คณะสงฆ์จำนวนมากพร้อมออกมาเตือนสติ ส่วนที่ดีเอสไอจะเข้าตรวจสอบรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ในวันที่ 19 มกราคม ขอให้ยุติการเล่นเกมทางการเมือง เพราะการทำเช่นนี้จะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของบางกลุ่มบางคน และจะเป็นบาปติดตัวด้วย จึงอยากให้ปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา " พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว

---------------

คุณประสาร เมธีธรรมาจารย์ ทำเพื่อพุทธศาสนาหรือทำเพื่อใครกันแน่





ทักษิณชู 2 นิ้ว แสดงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ 








พระแท้ ไม่ควรรับเงินด้วยมือโดยตรงจากฆราวาสที่ถวายให้
แต่สำหรับนายประสาร เมธีธรรมาจารย์ มันไม่ใช่ !!


ส่วนรูปข้างล่างนี้ไม่ใช่คุณประสาร เมธีธรรมาจารย์ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนคุณประสาร รับเงินทักษิณจะไหว้ทักษิณ เหมือนรูปข้างล่างนี้หรือเปล่า ? 555




แล้วการนำพระออกมาประท้วงตั้ง 4 หมื่นรูปได้เนี่ย ต้องใช้เงินเยอะนะ คุณประสาร

http://imgur.com/a/rwZeN




------------------------

ข่าว ตู่คางคก เปรียบสมเด็จช่วงเป็นพระพุทธเจ้า !!!

18 ม.ค.59 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวในรายการมองไกล ผ่านทางยูทูป ว่า

"กรณีที่มีมีการโจมตีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) ไม่เหมาะที่จะเป็นพระสังฆราช ว่า ถือเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก มีความพยายามที่จะใส่ร้ายเพื่อให้ได้รับความมัวหมอง การเคลื่อนไหวของนายไพบูลย์ นิติตะวัน และพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ที่ออกมาต่อต้านการเป็นสมเด็จพระสังฆราชของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เปรียบเสมือนพระเทวทัตในสมัยพุทธกาล ที่ออกมาใส่ร้ายพระพุทธเจ้า อยากให้รัฐบาลปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะไม่มีปัญหา"

"กรณีที่นายไพบูลย์ ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ ให้ตรวจสอบคดีที่สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ครอบครองรถหรูเป็นการใช้คำพูดที่บิดเบือน แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น คำว่า รถหรู ที่นายไพบูลย์ ได้กล่าวหา ที่จริงแล้วเป็นรถโบราณที่ประชาชนมอบให้ เลยนำไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ พร้อมกับพาหนะโบราณอื่นๆ อาทิ เรือโบราณหลายประเภท เกวียน ล้อลากเทียมควาย เทียมวัว รถม้า" นายจตุพร กล่าว.

ข่าวไทยโพสต์ออนไลน์

--------------------

เป็นพระสะสมทรัพย์สินมากมายได้เหรอ ??

ที่คนเขาด่าตาช่วง เพราะดันใส่ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของรถว่ะไอ้คางคก

ทำไมแกไม่ใส่ชื่อมูลนิธิของวัดเป็นเจ้าของรถล่ะ ?

แล้วอย่ามาอ้างเรื่องพิพิธภัณฑ์เลย เพราะตาช่วงแกชอบสะสมของเก่า ของโบราณเป็นสันดานอยู่แล้ว สังเกตตอนรับถวายของโบราณทีไร หน้าของตาช่วงเนี่ยยิ้มแฉ่งเลย

ทางออกบนทางตันคือ ??

ที่กรรมการ มส. มีมติให้สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดว่า ให้เลือกพระที่มีสมณศักดิ์และมีพรรษาอาวุโสสูงสุด ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ดังนั้น สมเด็จช่วง จึงมีสิทธิตามกฎหมายทุกอย่าง

แต่ !!! ถ้าอยากจะให้ยุติความแตกแยกของหมู่สงฆ์และพุทธศาสนิกชน สมเด็จช่วง ก็ควรเสียสละ ประกาศจะไม่ขอรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ได้ ถ้าอยากจะปกป้องพระพุทธศาสนาไทยจริง ๆ

เว้นแต่สมเด็จช่วง ยังยึดติดและยังลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญมากกว่าปกป้องพระธรรมวินัย

----------------

สุดท้ายนี้ ขอถามคุณประสาร เมธีธรรมาจารย์ สมมุติว่าได้ตั้งสมเด็จช่วงเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว และต่อมา DSI เกิดตรวจสอบพบว่า สมเด็จช่วงเลี่ยงภาษีรถจริง ๆ จนเป็นเหตุให้ปาราชิก

ถึงตอนนั้นคุณประสาร จะรับผิดชอบอะไรบ้างกับความเสียหายที่เกิดขึัน





คลิกอ่าน พระเมธีธรรมาจารย์ ผนึกกำลังตู่ จตุพร ปกป้องสมเด็จช่วง


วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยดีหรือไม่






เมื่อกำลังจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะมีกระแสเรียกร้องอย่างหนึ่งที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทย"

ประเด็นเรื่องการประกาศศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติไทย มีการถกเถียงกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ผ่านมากล้าประกาศในเรื่องนี้ลงในรัฐธรรมนูญ

ถ้าถามผมเกี่ยวกับประเด็นนี้ ผมขอตอบแบบกลาง ๆ เลยว่า "ถ้าประกาศได้ก็ดี แต่ถ้าประกาศไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"

--------------------------

หากย้อนไปสมัยเมื่อผมยังเด็ก ๆ จนถึงในช่วงวัยรุ่น ผมนี่โคตรสนับสนุนเรื่องประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยเลย

เพราะในตอนนั้น ผมรู้สึกว่า ทำไมในเมื่อคนไทยกว่า 90% นับถือศาสนาพุทธ แล้วทำไมถึงไม่กล้าประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ

อย่างประเทศอิสลามหลาย ๆ ประเทศ เขาก็ยังกล้าประกาศว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติได้เลย

หรืออย่างเมื่อครั้งที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ทรงตั้งพระราชปณิธานไว่ว่า

“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”

ในเมื่อรัชกาลที่ 1 ก็ทรงมีพระราชปณิธานไว้แบบนี้ ลูกหลานไทยในยุคต่อมา ก็น่าจะประกาศให้พุทธศาสนาเป็๋นศาสนาประจำชาติไทยก็ได้นี่

ผมเคยคิดแบบนั้น

แต่เมื่อผมศึกษามากขึ้น มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความคิดเดิม ๆ เรื่องการประกาศพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป

คือ ผมไม่ได้รู้สึกว่า จำเป็นต้องประกาศเท่าใดนัก แต่ถ้าประกาศได้ก็ดี ไม่ประกาศก็ไม่เป็นไรและอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ

ทำไมผมถึงคิดว่า ถ้าไม่ประกาศให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็อาจจะดีกว่า

ก็เพราะ คนไทยเป็นชาวพุทธแต่เปลือก แถมคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้องในหลักคำสอนในศาสนาพุทธอีกด้วย

แม้ในบัตรประชาชนจะเขียนว่านับถือศาสนาพุทธ แต่พฤติกรรมคนไทยกลับกระทำตัวนอกเหนือคำสอนในพุทธศาสนาทั้งสิ้น

ประเทศไทยมีข่าวฆาตกรรม ฉกชิง วิ่งราว ปล้นฆ่า ข่มขืน ค้าของอบายมุข ลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุขทั้งปวง การละเมิดกฎหมาย นับวันมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้นในคนไทยเป็นทวีคูณ

วัน ๆ นึงมีข่าวฆ่ากันตาย ข่าวฆ่ากันด้วยจิตใจที่โหดเหี้ยม มีให้อ่านมากมายจนชาชิน นี่หรือชาวพุทธไทย

บ้าหวย บ้าอบายมุข เสพติดเหล้ามากในอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งการผิดประเวณี เด็กหญิงชายมั่วกามโลกีย์จนท้องก่อนวัยอันควร วัยรุ่นหญิงท้องแบบไม่พร้อมมากที่สุดในเอเซียและอันดับต้น ๆ ของโลก

คนไทยโกงกินก็มากมายทุกระดับในทุก ๆ อาชีพ แถมในยุคปัจจุบัน มีความเชื่อแบบหลงผิดที่ว่า "โกงก็ได้ไม่เป็นไร แต่แบ่งให้กูด้วยนะ"

เมื่อมีสัตว์เกิดมาพิการ ต้นไม้ออกใบออกผลผิดปกติ คนไทยก็แห่ไปกราบไหว้ขอหวย มีเรื่องงมงายบ้าบอแบบนี้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

คนไทยงมงายในเรื่องโง่ ๆ จนเป็นข่าวดังตลอดทั้งปีแทบทุกวัน

หรือพวกที่หลงคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นพุทธแท้ แต่กลับลุ่มหลงการทำบุญแบบบำรุงกิเลสตัณหา ทำบุญเพราะหวังจะรวย หวังอยากได้โน่นได้นี่ หลงเชื่อคำสอนของพวกอลัชชีที่แอบอ้างเอาคำสอนพุทธศาสนามาบังหน้าหากิน

พระสงฆ์มากมายก็สอนในเรื่องผิด ๆ ให้ประชาชน หลอกให้คนมาทำบุญกับสิ่งงมงายนอกรีต แล้วใบ้หวย ทำเสน่ห์ยาแฝด แม้กระทั่งสอนให้คนกราบไหว้บูชาพระราหู นี่ก็ไม่ใช่เรื่องในพุทธศาสนาเลย

-------------------------

สิ่ง ๆ ต่าง ๆ ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ซึ่งยังมีเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อีกมากที่ยังเล่าไม่หมดในคนไทยที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธนั้น

บอกตามตรง ผมละอายใจครับ ถ้าในรัฐธรรมนูญจะประกาศว่าศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติไทย

ผมละอายใจต่อพระพุทธเจ้า ที่จะนำคำว่าเป็นชาวพุทธมาปนกันกับความงมงายจนมั่ว แล้วยังกล้าประกาศอย่างหน้าด้าน ๆ อีกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยอีก

ฉะนั้น เรื่องที่จะให้รัฐธรรมนูญเขียนว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นั้น ผมจึงยังรู้สึกละอายใจครับถ้าจะให้เขียนเช่นนั้น

ถ้าคนไทย(ส่วนใหญ่) เรียนรู้และเข้าใจพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติตัวในศีลในธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างดีพอประมาณ แม้ไม่ประกาศว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ก็ย่อมดีกว่า ประกาศว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย แต่ความห่วยในศีลธรรมของคนไทยเสื่อมลงทุกวัน

ถ้าคนไทยยังทำตัวไม่สมกับเป็นชาวพุทธที่ดี ผมว่าสู้ไม่ประกาศดีกว่าครับ ผมบอกตรง ๆ ผมยังหน้าด้านใจด้านไม่พอจริง ๆ

และถึงแม้จะไม่ประกาศว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยอย่างเป็นทางการ ในทางปฏิบัติ คนไทยรวมไปถึงคนทั้งโลก เขาก็รู้กันอยู่แล้วว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ แม้ไม่ต้องประกาศอย่างเป็นทางการก็ตาม

เราจะไปยึดติดอะไรนักกับคำประกาศในรัฐธรรมนูญ หากเรายังไม่ปฏิบัติตัวเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีพอ

การประกาศพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เปรียบเสมือน คนไทยส่วนใหญ่ประกาศตนในบัตรประชาชนว่าเป็นชาวพุทธ แต่ทุกวันนี้ยังหลงเชื่อสิ่งงมงาย หลงมัวเมาในอบายมุข ซ้ำกราบไหว้ผีสาง ไหว้สัตว์พิการ หรือแม้กระทั่งกราบไหว้องค์เทพในศาสนาอื่น ๆ ที่ศาสนาพุทธไม่เคยสอน

กราบไหว้สัตว์พิการ นี่หรือชาวพุทธ ??


---------------------

นี่ขนาดผมยังไม่ลงรายละเอียดที่อาจเกิดความขัดแย้งกับคนไทยต่างศาสนานะครับ เพราะเรื่องนั้นละเอียดอ่อนมาก

มีประเทศที่ผมชอบมากอยู่ประเทศนึงคือ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลก แต่อินโดนีเซียก็ไม่ได้ประกาศว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

แถมอินโดนีเซียยังให้ความสำคัญกับวันสำคัญของศาสนาสำคัญอื่น ๆ ของโลกด้วย เช่น วันวิสาขบูชา วันคริสต์มาส ถือเป็นวันหยุดราชการของประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น

เอาเป็นว่า ประเทศในโลกส่วนใหญ่เขาก็ไม่เห็นว่า การประกาศเรื่องศาสนาประจำชาติเป็นเรื่องสำคัญแต่อย่างใด

อย่างเช่น ในสมัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและยอมรับว่า ทรงเป็นสังฆราชาแห่งศาสนาพุทธของโลก โดยที่ประเทศไทยก็ยังไม่ได้ประกาศว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติด้วยซ้ำ

แล้วคุณผู้อ่านลองนึกดูว่า ถ้าตาช่วงวัดปากน้ำ ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แถมประเทศไทยยังประกาศอีกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติด้วย

นี่ก็จะกลายเป็นการประกาศความเสื่อมแห่งศาสนาพุทธไทยต่างหากครับ



http://imgur.com/a/dm4om

ก่อนจบบทความผมขอย้ำอีกครั้งว่า

สำหรับผม "ถ้าสามารถประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนา่ประจำชาติได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งแตกแยกได้ก็ดี แต่ถ้าประกาศไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"

---------------

แถมท้ายบทความ

นี่ล่าสุด พระปลุกเสกตุ๊กตาลูกเทพ เอาเข้าไป ที่ถูกต้องคือลูกผีต่า่งหาก แล้วแทนที่พระจะสอนให้คนฉลาดขึ้น กลับสนับสนุนให้คนบ้างมงายมากขึ้น




คลิกอ่าน ความเห็นม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กรณีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ


วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

หลักการรับเงินทำบุญบริจาคที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชา สุภัทโท






ตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ผมได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านพระเถระมาหลายรูป ทั้งฟังบ้าง อ่านจากหนังสือบ้าง

แต่ที่สุดในชีวิตของผม คือ คำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท

ครั้งแรกที่ผมได้อ่านธรรมะของหลวงพ่อชา สุภัทโท ก็เมื่อปี 2533 น่าจะได้ มีผู้เมตตามอบหนังสือธรรมะหลวงพ่อชา สุภัทโท มาให้ผมได้อ่านในช่วงที่ผมกำลังทุกข์ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

แต่เมื่อผมได้อ่านคำสอนของหลวงพ่อชาแล้ว ผมนี่ถึงกับจิตใจสว่างไสวขึ้นมาอย่างฉับพลัน คำสอนทุกคำในหนังสือของหลวงพ่อชา ถูกจริตกับสันดานผมเป็นที่สุด

เป็นคำสอนที่เรียบง่ายมาก เข้าใจง่ายที่สุด ไม่ซับซ้อนแต่ทะลุถึงจิตวิญญาณของผมทันที

ถ้าใครกำลังประสบทุกข์ที่สุดในชีวิต แล้วยังหาทางออกเพื่อความสงบของจิตใจไม่ได้ ผมแนะนำไปหาหนังสือคำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท มาลองอ่านดูก่อนนะครับ

เผื่อคุณจะจิตใจสงบสว่างเหมือนที่ผมเคยได้รับมาแล้ว

---------------------

ารทำบุญ และการบริจาคเรี่ยไรของวัดต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักจะมีเจ้าอาวาส พระในวัด ต่างช่วยการโปรโมทเพื่อเชิญชวนญาติโยมมาทำบุญ

บางวัดก็ใช้นโยบายขายบุญแก่ญาติโยม อ้างนรก อ้างสวรรค์ อ้างวิมาน อ้างอานิสงส์ของการทำบุญมาเป็นตัวล่อให้คนมาทำบุญกันมาก ๆ

สุดท้ายกลายเป็นวัดรวย เจ้าอาวาสรวย ความเป็นอยู่พระเดี๋ยวนี้ก็หรูหรา ฟุ้งเฟ้อ มากขึ้นเหมือนที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ

แต่ที่เห็นจะโด่งดังและมีอิทธิพลทางการเมืองและทางธุรกิจหนุนหลังมากที่สุดคงไม่พ้นวัดพระธรรมกาย ที่ปกครองโดยอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย นายไชยบูลย์ หรือ สมีธัมมชโย

แต่ปัจจุบันกฎหมายบ้านเมืองรวมถึงมหาเถรฯ (ไม่อยากอ่านมหาเถระ แต่อยากอ่านว่า มะหาเถน !!)  ก็ไม่เอาผิดสมีตนนี้เลย ยังปล่อยให้สมียังเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต่อไปโดยขัดพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ของกรุงรัตนโกสินทร์

จนเดี๋ยวนี้ผู้คนจำนวนมากไม่อยากจะเรียกวัดนี้ว่า วัดพระธรรมกาย กันแล้ว แต่ขอเรียกลัทธิสมีขายบุญ ลัทธิจานบิน ลัทธิธรรมโกย แบบนี้เสียมากกว่า

เพราะเอาบุญมาล่อหลอกให้พุทธศาสนิกชนบางส่วนหลงผิด หลงใหลในบุญแบบเต็มไปด้วยกิเลส

------------------



หลักการบริจาคให้วัดของหลวงพ่อชา สุภัทโท

ที่วัดหนองป่าพงในยุคหลวงพ่อชา สุภัทโท ยังมีชีวิตอยู่นั้น (แต่ในปัจจุบันนี้ผมไม่รู้ยังเป็นเช่นเดิมหรือไม่) หลวงพ่อชา จะไม่มีการมาบอกบุญ มาเรี่ยไรขอเงินบริจาคจากญาติโยมเลย

เพราะที่วัดหนองป่าพง จะมีตู้รับบริจาควางไว้ เช่น ตู้บริจาคเพื่อซ่อมแซมวัด ตู้บริจาคช่วยค่าน้ำค่าไฟ ตู้บริจาคเพื่อซื้ออุปกรณ์การศึกษาธรรมะเพื่อพระ เณร แม่ชี ผู้ถือศีล ในวัด เป็นต้น

ญาติโยมอยากจะบริจาคอะไร ก็ไปใส่ที่ตู้กันเอาเอง พระที่วัดหนองป่าพงจะไม่บอกบุญใด ๆ ทั้งสิ้น

ถ้าวัดผุพัง ก็เอาเงินจากตู้บริจาคไปใช้ มีเงินเท่าไหร่ ก็ซ่อมแค่นั้น ถ้าอะไรยังขาดเหลือ เช่น ถ้ายังขาดหลังคากระเบื้อง ก็อาจมีตู้รับบริจาคค่ากระเบื้องมาตั้งเฉพาะกิจตั้งไว้ต่างหาก หากญาติโยมมาเห็นถ้าอยากช่วยก็ใส่เงินกันเอง

เพราะทางวัดจะไม่บอกบุญประกาศเรี่ยไรใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอาจจะกลายเป็นเบียดเบียนญาติโยมโดยอ้อมได้ หรือทำให้ญาติโยมอาจไม่สบายใจได้

หลักการของหลวงพ่อชา คือ มีเท่าไหร่ ก็ใช้เท่านั้น ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้ อะไรที่พอซ่อมเองได้โดยไม่ต้องใช้เงิน พระก็ทำกันเองไปก่อน

แต่ที่สุดแล้ว ประชาชนลูกศิษย์ที่ศรัทธาในหลวงพ่อชา สุภัทโท ก็มักจะเห็นความเดือดร้อนและความจำเป็นของวัดกันเอง บอกบุญกันเองเรี่ยไรหาเงินกันเองในหมู่ญาติโยม แต่ต้องเรี่ยไรจัดการกันเองนอกเขตวัด เพราะในวัดจะไม่อนุญาตให้มาเรี่ยไรเงินเพื่อการใด ๆ ในวัดทั้งสิ้น

เช่น ญาติโยมคนนึงเห็นว่า ตรงนี้ของวัดผุกร่อน ตรงนั้นเริ่มผุพัง เขาก็จะหาเงินมาจัดการซ่อมแซมให้ที่วัดเอง โดยที่พระในวัดไม่ต้องมาเดือดร้อนเรี่ยไรขอเงินบริจาคจากญาติโยมใด ๆ ทั้งสิ้น

นี่แหละที่เขาเรียกว่า อยู่อย่างพระ

------------------------

เมื่อมีญาติโยมจะถวายรถยนต์ให้หลวงพ่อชา สุภัทโท

:: หลวงพ่อชากับรถยนต์

ทุกวันนี้รถยนต์กลายเป็นปัจจัยที่ ๕ สำหรับคนมีเงินไปแล้ว เป็นธรรมดาอยู่เองที่ฆราวาสเห็นอะไรดีก็อยากถวายให้พระได้ใช้บ้าง เพราะเชื่อว่าจะได้บุญมาก ดังนั้นการถวายรถยนต์แก่พระจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนมีเงิน จนกระทั่งรถกลายเป็นเครื่องแสดงสถานภาพของพระว่าเป็นที่ศรัทธานับถือของญาติโยม

ผลก็คือพระที่มีสมณศักดิ์ท่านใดที่ไม่มีใครถวายรถให้ ก็ต้องถือเป็นกิจที่จะขวานขวายหารถมาประดับบารมี

สำหรับหลวงพ่อชา สุภัทโทนั้น ท่านไม่ต้องขวนขวายหารถยนต์ เพราะมีคนอยากถวายรถยนต์ให้ท่าน แต่แทนที่ท่านจะตอบรับ ท่านกลับนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพงหลังสวดปาฏิโมกข์เพื่อฟังความเห็นพระสงฆ์

ซึ่งพระทุกรูปต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะรับรถยนต์ไว้ ด้วยเหตุผลว่า สะดวกแก่หลวงพ่อเวลาไปเยี่ยมสำนักสาขาต่างๆ ซึ่งมีมากกว่า ๔๐ สาขาในเวลานั้น อีกทั้งเวลาพระเณรอาพาธก็จะได้นำส่งหมดได้ทันท่วงที

หลังจากที่หลวงพ่อชารับฟังความคิดเห็นของที่ประชุมแล้ว ท่านก็แสดงทัศนะของท่านว่า

“สำหรับผม มีความเห็นไม่เหมือนกับพวกท่าน ผมเห็นว่าเราเป็นพระ เป็นสมณะ เป็นผู้สงบระงับ เราต้องเป็นผู้มักน้อย สันโดษ เวลาเช้าเราอุ้มบาตรออกไปเที่ยวบิณฑบาตรับอาหารจากชาวบ้านมาเลี้ยงชีวิต เพื่อยังอัตภาพนี้ให้เป็นไป ชาวบ้านส่วนมากเขาเป็นคนยากจน เรารับอาหารจากเขา เรามีรถยนต์แต่เขาไม่มี นี่ลองคิดดูซิว่ามันจะเป็นอย่างไร เราอยู่ในฐานะอย่างไร เราต้องรู้จักตัวเอง เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าไม่มีรถ เราก็อย่ามีเลยดีกว่า ถ้ามี สักวันหนึ่งก็จะมีข่าวว่ารถวัดนั้นคว่ำที่นี่ รถวัดนี้ไปชนคนที่นี่.. อะไรวุ่นวาย เป็นภาระยุ่งยากในการรักษา

เมื่อก่อนนี้ จะไปไหนแต่ละทีมีแต่เดินไปทั้งนั้น ไปธุดงค์สมัยก่อนไม่ได้นั่งรถไปเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไปธุดงค์ก็ไปธุดงค์กันจริงๆ ขึ้นเขาลงห้วยมีแต่เดินทั้งนั้น เดินกันจนเท้าพองทีเดียว


แต่ทุกวันนี้พระเณรเขาธุดงค์มีแต่นั่งรถกันทั้งนั้น เขาไปเที่ยว ดูบ้านนั้นเมืองนี้กัน ผมเรียกทะลุดง ไม่ใช่ธุดงค์ เพราะดงที่ไหนมีทะลุกันไปหมด นั่งรถทะลุมันเลย ไม่มีรถก็ช่างเหอะ ขอแต่ให้เราประพฤติปฏิบัติดีเข้าไว้ก็แล้วกัน เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใสศรัทธาเองหรอก”


“ผมไม่รับรถยนต์ที่เขาจะเอามาถวายก็เพราะเหตุนี้ ยิ่งสบายเสียอีก ไม่ต้องเช็ดไม่ต้องล้างให้เหนื่อย ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้ อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายกันนักเลย”

จากหนังสือลำธารริมลานธรรม – พระไพศาล วิสาโล หน้าที่ 93-95


หลวงพ่อชา สุภัทโท และ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช



นี่แหละครับ พระแท้ พระปฏิบัติ พระสุปฏิปันโน จะมีวิถีเหมือนเช่นหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่พระและญาติโยมทั้งหลายควรถือเป็นแบบอย่างครับ

-----------------

หลักปฏิบัติของญาติโยม และของสงฆ์ วัดหนองป่าพง ในปัจจุบัน

คลิกที่รูปเพื่อขยาย


อธิบายเพิ่มเติมกติกาสงฆ์วัดหนองป่าพง ในข้อ 1 และข้อ 10

ข้อ 1. พระเณรห้ามขอของแต่คนใช่ญาติใช่ปวารณา ...

หมายถึง ห้ามพระและเณรไปบอกขอสิ่งของจากคนที่ไม่ใช่ญาติของตน ที่ไม่ใช่ปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากของตน

ข้อ 10 ห้ามรับเงินและทอง และห้ามผู้อื่นเก็บไว้เพื่อตน ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยน

หมายถึง ห้ามพระและเณรรับเงินและทอง ของมีค่าทั้งหลาย ทั้งห้ามผู้อื่นเก็บให้ตน โดยเฉพาะการห้ามพระซื้อของ ขายของ และแลกเปลี่ยนเงินทองนั้น เพราะการที่พระซื้อของ ขายของถือเป็นอาบัติ 


http://imgur.com/a/Sh6S1

คลิกอ่าน อย่าบำรุงพระเกินความพอีดของการเป็นภิกษุ





counter statistics