จากข่าว รมว.คลังเสนอ ธปท. ลดดอกเบี้ย
นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศจะอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 720,000 ล้านยูโรและการอัดฉีดจากธนาคารกลางญี่ปุ่นเฉลี่ยปีละ 600,000 ล้านยูโรถือเป็นปริมาณเงินที่ค่อนข้างสูงมาก จะส่งผลให้ค่าเงินยูโรและค่าเงินเยนในระยะต่อไปอ่อนค่าลง เกิดการผันผวนตลาดเงินและตลาดทุน มาลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคอื่นมากขึ้นในส่วนของไทยค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นส่งผลให้การขยายตัวของภาคการส่งออกในปีนี้ลดลง
ทั้งนี้ การดูแลตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยนไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการคลังแต่เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนซึ่งตามทฤษฎีการดูแลไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามากเกินไป จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ส่วนจะลดเท่าใดอยู่ที่การตัดสินใจของ ธปท. กระทรวงการคลังคงให้ความเห็นไม่ได้
--------------------
รมว.คลัง คิดโง่ๆ เสนอลดดอกเบี้ยนโยบาย
ขณะนี้ประเทศไทยมีดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2 % ซึ่งถือว่า เกือบจะต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน
อีกทั้งสถานการณ์ของคนไทยคือ ไม่รู้จักเก็บออม จนคนไทยมีเงินออมน้อยมาก แต่กลับมีหนี้ครัวเรือนสูง เพราะการใช้จ่ายเกินตัวและไม่รู้จักออก
การที่ภาครัฐตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนายกิตติรัตน์ อดีต รมว.คลัง ก็เคยอ้างว่าค่าเงินบาทแข็งทำส่งออกไทยทรุด จึงพยายามกดดันให้ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาโดยตลอด
สุดท้ายพอ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์กดดัน ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ส่งออกไทยดีขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับทำให้พวกนายทุนร่ำรวยมากขึ้น เพราะแรงกระตุ้นการจับจ่ายที่ภาครัฐพยายามกระตุ้นคนไทยให้ใช้จ่าย
สุดท้ายหนี้ครัวเรือนของคนไทยพุ่งสูงขึ้นมาตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เรื่อยมาจนมาอยู่ที่ 83.5 % เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา
ตอนนี้ รมว.คลัง ในรัฐบาล คสช. ก็ยังใช้แนวคิดเดิม ๆ คือ เสนอให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง การเสนอแบบนี้ยิ่งทำให้คนไทยยิ่งไม่อยากออมเงินมากขึ้น
และเป็นการแก้ปัญหาเงินใหลเข้าประเทศไทยที่ผิดวิธี เพราะมาตรการคิวอีของอียู เงินที่จะไหลเข้ามาก็จะใหลไปที่ตลาดหลักทรัพย์มากที่สุด เงินพวกนี้ไม่ได้สนใจจะเข้ามาฝากเงินเพื่อหวังดอกเบี้ยหรอกครับ
เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยมันต่ำอยู่แล้ว ต่ำเกือบที่สุดในอาเซียน รองจากสิงคโปร์เท่านั้น
หากเงินจากมาตรการคิวอีจะไหลเข้าอาเซียนเพื่อฝากเงินหวังดอกเบี้ย เขาไปฝากที่อินโดนีเซียดีกว่า เพราะในเดือนมกราคม 2515 นี้ ดอกเบี้ยอินโดนีเซียอยู่ที่ 7.75 %
อัตราดอกเบี้ยมาเลเซีย อยู่ที่ 3.25 %
อัตราดอกเบี้ย ฟืลิปปินส์ อยู่ที่ 4 %
อัตราดอกเบี้ย เวียดนาม อยู่ที่ 6.5 %
อัตราดอกเบี้ย จีน อยู่ที่ 5.6 %
เงินจากมาตรการคิวอีของยุโรป ก็ไม่ต่างจากเงินคิวอีของสหรัฐอเมริกา ที่จะไหลบ่ามาทำกำไรระยะสั้นในตลาดทุนเป็นหลัก จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจไทยจะแย่ลง แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ได้แย่ลงตามไปด้วย เพราะกระแสเงินจากคิวอีของสหรัฐอเมริกาไหลเข้ามานั่นเอง
แล้วพอถึงจุดหนึ่ง พวกนักลงทุนต่างชาติก็จะพากันแห่ถอนการลงทุนออกฉับพลัน เหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ตลาดหุ้นไทยตกหนักทีเดียว 100 จุด เพื่อทำกำไรระยะสั้น
--------------
ดังนั้น ถ้า รมว. คลัง นายสมหมาย ภาษี ยังเสนอให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยกระทำ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
แต่ที่แน่ ๆ คนฝากเงินทั่วประเทศซวย ที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง และคนไทยส่วนใหญ่ก็จะยิ่งไม่อยากออมเงินเหมือนเดิม
ทั้ง ๆ ที่นโยบายรัฐบาล คสช. บอกว่าจะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต้องยิ่งส่งเสริมการออมภาคประชาขนให้มากขึ้น แต่ดันคิดจะมาลดดอกเบี้ยเงินฝากลง !!
สรุปได้ว่า นายสมหมาย ภาษี คนนี้ก็ยังเป็นรัฐมนตรีคลังที่มีวิสัยทัศน์รับใช้ระบบนายทุนเช่นเดิม
ลองคิดในมุมกลับกัน การที่ค่าเงินบาทจะแข็งไปบ้างจากการที่ค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง ก็อาจเป็นผลดีที่ทำให้ไทยเราสามารถมีต้นทุนการผลิตจากการนำเข้าวัตถุดิบ และเครื่องกล ตลอดจนน้ำมัน ในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเลคโทรนิคส์ และการประกอบยานยนตร์ ซึ่งไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจำนวนมาก เมื่อหักลบกันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามแต่อย่างใด
อีกทั้งเวลาค่าเงินยูโรอ่อนลง ไม่ได้มีเฉพาะเงินบาทที่แข็งขึ้นเพียงชาติเดียว เงินสัญชาติอื่น ๆ ก็แข็งขึ้นตามเช่นกัน ดังนั้น ปัจจัยเรื่องการส่งอออกสินค้า ไม่ได้วัดกันที่ค่าเงินเป็นหลัก
อีกทั้งการที่ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง เพราะอียูพิมพ์ธนบัตรออกมาแบบไม่อยู่บนกฎเกณฑ์ที่ต้องอิงกับทองคำที่เป็นทุนสำรอง แปลง่าย ๆ คือ พิมพ์เงินตามใจชอบ ดังนั้น เมื่อเงินยูโรมีมากขึ้นแบบไร้กฎเกณฑ์ เหมือนพิมพ์แบงด์กงเต็ก ย่อมทำให้ค่าเงินยูโรตกต่ำลง
ถ้าไทยไปพยายามทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงตามแบงค์กงเต็กตามค่าเงินยูโร ไทยเราก็โง่แล้วครับ
และถ้ามาลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกนี่สิ จะทำซ้ำเติมให้ประเทศไทยแย่ลง เพราะเงินออมคนไทยก็จะลดลงอีก ทั้ง ๆ ที่ประเทศจะรวยอย่างมั่นคงได้ ก็ต้องวัดกันที่คนในประเทศมีเงินออมมากแค่ไหน
หรือว่า การขายพันธบัตรสุขกันเถิดเรา ที่ผ่านมาของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเงินไปใช้หนี้จำนำข้าวแทนยิ่งลักษณ์ ยังขายไม่ค่อยออก
รมว.คลัง คนนี้จึงพยายามจะกดดันให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยลง เพื่อจะได้จูงใจให้ประชา่ชนถอนเงินเพื่อไปซื้อพันธบัตรสุขกันเถิดเราในรุ่นต่อไป ให้มากขึ้นแทนใช่ไหม ?
หากคิดจะสกัดการไหลเข้าของเงินคิวอียุโรป ก็หาทางสกัดกั้นเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยสิ มันมีวิธีที่ทำได้ แต่ก็ไม่คิดจะทำกัน เพราะพรรคพวกนายทุนจะสูญเสียผลประโยชน์ไงล่ะ
ก่อนจบบทความ ผมขอบอกคุณผู้อ่านว่า ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดของไทยคิดจะปฏิรูปเรื่องการผ่อนบ้านของคนไทย ที่คนไทยถูกเอาเปรียบจากเสือนอนกินอย่างธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารมานานแล้ว
ไว้ผมจะหาโอกาสเขียนอีกที
แนะนำอ่านบทความเก่าเพิ่มเติมตามลิงค์ข้างล่าง หากคุณผู้อ่านยังไม่เข้าใจเรื่อง คิวอี และการลดดอกเบี้ย
คลิกอ่าน ความโง่ของกิตติรัตน์ กับวิกฤติค่าเงินบาทแข็ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น