วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

สมียันตระ มีพฤติกรรมยอมรับเองว่า ได้ขาดความเป็นพระไปแล้ว







เห็นพระบางรูปยังไปก้มกราบสมียันตระ ราวกับมันยังเป็นพระเกจิเหมือนเดิม นี่คือการแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาแท้ ๆ

พระที่ไปกราบสมีปาราชิก ไม่รู้ว่า จะบาปแค่ไหน ที่ใช้เพศบรรพชิตไปกราบไหว้คนชั่วที่สุดที่ได้ขาดจากความเป็นสงฆ์ด้วยเหตุปาราชิก  ผู้ซึ่งเมื่อตายไปต้องมีนรกอเวจีเป็นที่หมายต่อไป

ซึ่งผู้เป็นพระน่าจะรู้ว่า วินัยพื้นฐานของความเป็นพระคืออะไร ?

ผมคงไม่ต้องเอ่ยย้อนไปถึงเหตุที่สมียันตระปาราชิกนะครับ เพราะคงไปย้อนหาอ่านกันเองได้ เพราะปรากฎหลักฐานชัดเจนทุกอย่าง จนสมียันตระยังเถียงไม่ออกเลย มันได้แต่อ้างแบแถ ๆ หลอกพวกโง่ไปว่า มันโดนใส่ร้ายจากขบวนการทำลายพระดี ๆ ของพวกมารศาสนา

แล้วพวกโง่ก็หลงเชื่อโดยง่าย แบบไม่สนข้อมูลหลักฐานใด ๆ ทั้งสิ้น


พระกำลังก้มกราบตีนยันตระ

---------------

พฤติกรรมยันตระที่ยอมรับเองว่า ขาดความเป็นพระแล้ว

ย้อนกลับมาที่พระธรรมวินัยหรือวินัยสงฆ์ ในระดับพื้นฐานของความเป็นพระก็คือ การปลงผม หรือโกนผม

เป็นพระต้องโกนผม เป็นแบบนี้ในพุทธศาสนาทุกนิกายทั่วโลก เป็นเช่นเดียวกันหมด เพราะพระธรรมวินัยกำหนดว่า พระต้องมีเส้นผมยาวไม่เกิน 2 องคุลี หรือประมาณไม่เกิน 2 นิ้ว

แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงโกนพระเกศาเช่นกัน แต่เพราะช่างปั้นพระพุทธรูปต้องการปั้นให้พระพุทธรูปดูรู้ง่ายๆ ว่า ใครคือพระพุทธเจ้า ช่างปั้นจึงสมมุติว่า พระพุทธเจ้าทรงมีเส้นพระเกศามวยยาวกว่าปกติ เพื่อความแตกต่าง

หรือพูดง่าย ๆ คือ ความจริงพระพุทธเจ้าก็ผมสั้นและมีเส้นผมยาวไม่เกิน 2 องคุลีเช่นเดียวกับพระภิกษุรูปอื่น ๆ

แต่ที่เส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้าพิเศษกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินใจปลงพระเกศา เพื่อออกแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสารในครั้งแรกนั้น ได้ปรากฏว่า

"เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่าพระเมาลีไม่สมควรแก่เพศบรรพชิต จึงทรงตัดออกด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นพระเกศาก็ปรากฏยาวประมาณ ๒ องคุลี ม้วนกลมเป็นทักขิณาวัฏ (เวียนขวา) ทุกๆเส้น และคงอยู่อย่างนั้นตราบถึงดับขันธปรินิพพาน"

แปลว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงปลงพระเกศาให้สั้นไม่เกิน 2 องคุลีเพียงครั้งเดียวในชีวิต และเส้นพระเกศาก็ไม่เคยยาวไปกว่านั้นอีกตราบจนพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานครับ

-----------------

แล้วสมียันตระ ที่เคยประกาศตัวว่า มันไม่ยอมรับมติสงฆ์ ไม่ยอมรับพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชสมเด็จพระญาณสังวร มันยังอวดอ้างว่า ตัวเองยังเป็นพระอยู่นั้น

เท่ากับสมียันตระมันโกหกพกลม ตอแหลอย่างชัดเจน เพราะถ้าสมียันตระมันยังคิดว่าตนเองยังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม แล้วสมียันตระ มันเสือกไว้ผมยาวรากไทร หนวดยาวเฟิ้มไปทำไม 

ทั้ง ๆ ที่วินัยสงฆ์ได้กำหนดว่า พระต้องปลงผมให้สั้น ยิ่งถ้าในนิกายเถรวาท ก็ต้องปลงหนวดออกด้วย

นั่นเท่ากับแสดงว่า สมียันตระมันยอมรับโดยพฤติกรรมของมันเองแล้วว่า ตัวมันหมดความเป็นพระ เพราะถ้ายังเป็นพระก็ต้องเคารพพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติอยู่เหมือนเดิม เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเคารพพระวินัย


ถ้าสมียันตระมันคิดว่ามันยังเป็นพระเหมือนเดิม มันก็ต้องดูอย่าง สมณะโพธิรักษ์ เป็นตัวอย่างสิ

เพราะสมณโพธิรักษ์เขามั่นใจว่าเขายังเป็นพระอย่างสมบูรณ์ เขาจึงยังปฏิบัติตามพระวินัยสงฆ์อย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ผมก็ต้องปลงออกไม่ให้ยาวเฟื้อย



ที่ผมยกตัวอย่างกรณีสมณะโพธิรักษ์ ไม่ได้แปลว่า ผมหมายถึง สมณะโพธิรักษ์ยังเป็นพระนะครับ ผมแค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า อย่างน้อยถ้ายังเชื่อว่าตนเองเป็นพระ ก็ต้องยังปฏิบัติตามวินัยสงฆ์อย่างเคร่งครัดอยู่เช่นเดิม

แต่มึงไอ้สมียันตระ มึงน่ะขาดความเป็นพระทั้งหลักฐานมั่วสีกาชัดเจน และมึงก็ยอมรับด้วยพฤติกรรมการไว้ผมยาวเฟื้อยของมึงชัดเจนว่า มึงน่ะขาดจากความเป็นสงฆ์ไปแล้ว

ตอนที่สมียันตระหนีลี้ภัยไปอยู่สหรัฐ มันยังเคยเล่าอีกว่า มันได้ขับรถไปงานบุญที่เจ้าภาพเขาเชิญ แล้วมันก็เคยขับรถชนผู้หญิงท้องจนตาย จนมันต้องติดคุกฐานขับรถโดยประมาทในสหรัฐอเมริกามาแล้ว

นี่ยิ่งชี้ชัดว่า มันน่ะไม่สำรวมในความเป็นพระเลย นั่นเพราะมันคือสมีที่ปาราชิกโดยสมบูรณ์แล้วนั่นเอง

พระที่ยังไปกราบมัน หรือประชาชนที่ยังไปกราบไหว้มันน่ะ เท่ากับพวกคุณกำลังทำร้ายพระพุทธศาสนา ร่วมดูหมิ่นพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน

สมียันตะพฤติกรรมเลวชัดเจนขนาดนี้ แอบอ้างว่ายังเป็นสงฆ์ เรียกตัวเองว่า อาตมา แถมยังเสือกไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับพระภิกษุอีก

ใครที่ยังไปไหว้มันอยู่ ก็แสดงว่า กำลังร่วมทำบาปทำลายพระพุทธศาสนาร่วมกับมัน สมียันตระ !!




---------------

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลังทรงสิ้นพระชนม์ ตอนนี้พระอัฐิของพระองค์ได้แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุแล้ว

นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่า สมเด็จพระญาณสังวรทรงเป็นพระอรหันต์

พระอรหันต์ย่อมมีญาณทัศนะรู้เองโดยชอบว่า ใครคือพระแท้ หรือ ใครเป็นสมี ด้วยญาณของพระอรหันต์

สมียันตระ ได้รับพระวินิจฉัยจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชว่า ได้อาบัติปาราชิกไปแล้ว

แถว ๆ คลองหลวง ปทุมธานี ก็มีสมีปาราชิกอีกคน ที่ได้รับพระวินิจฉัยจากสมเด็จพระสังฆราชว่า มันได้ปาราชิกไปแล้วเช่นกัน

ไอ้ห่มเหลืองใส่แว่นตาดำ ที่ชอบหลอกคนมาทำบุญเยอะ ๆ น่ะ มันชื่ออะไรนะ ??

สมีนะจ๊ะ หรือเปล่า ? 55555

----------------

ต้องปฏิรูปกฎหมายเพื่อปกป้องศาสนาพุทธ

ควรปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวพุทธศาสนาเสียใหม่ ให้ผู้ที่ทำลายศาสนามีโทษจำคุก และต้องไม่มีการหมดอายุความ

เช่นพระที่ปาราชิกไปแล้ว ต้องมีโทษจำคุกด้วย อย่างเช่น กรณีสมียันตระที่มีความผิดฐานปาราชิก กฎหมายเดิมก็แค่ให้สึกเท่านั้น แต่มันก็ไม่ยอมสึก

ส่วนที่สมียันตระมีโทษทางอาญาจำคุก ไม่ใช่มาจากเหตุเพราะปาราชิก แต่เป็นคดีหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมันรอจนหมดอายุความแล้วจึงกลับมาไทย

นี่ก็เป็นสาเหตุนึงที่ต้องปฏิรูปประเทศไทยใหม่ ต้องแก้ไขให้คดีทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คดีทุจริตคอร์รัปชันต้องไม่หมดอายุความ

พวกพระชั่ว พระปลอม พวกหากินในผ้าเหลือง ต้องมีโทษจำคุกด้วย

ในอดีตโบราณ พระที่ปาราชิกมีโทษจำคุก ตีตรวน โดนสักที่หน้า เพื่อให้รู้ว่าคน ๆ นี้ปาราชิกไม่สามารถไปบวชที่ใดได้อีก


4 ความคิดเห็น:

  1. บทความดีๆ ที่ต้องช่วยกันเผยแผ่

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ28 เมษายน 2557 เวลา 18:22

    พระสงฆ์ที่ไปกราบตีนไอ้เดนนรกยันตระ ก็ขาดจากความเป็นพระเช่นกัน

    (ขออนุญาตแชร์ลิงค์ด้วยนะคะ)

    ตอบลบ
  3. ตอนนี้่คนเราศรัทธานำหน้าปัญญาไปแล้ว
    1.ทิดเกษมปาราชิกไปแล้ว คนก็ยังกราบไหว้
    2.สำนักปทุมฯ ที่ไปไกลกว่าพระไตรปิฎก
    3.สมีคำ อยู่เมืองนอก คนโง่หรืออะไร ยังไปกราบไหว้
    4.เปิดบุญสร้างพระใหญ่ เจริญปุระนคร ลงทุนแสดงหนังโปรโมทตัวเองคนก็เชื่อ
    5.ดตาจินิน พ่อของศาสดาทุกพระองค์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ อารยธรรมอียิปต์มายำใส่พุทธ อาจารย์อุบลช่วยด้วย รหัสจักรวาล
    และอีกมากมาย
    แต่ละอันคิดได้
    แต่ก็ว่าล่ะธุรกิจขายความเชื่อ ไม่ต้องลงทุนมาก แต่กำไรมหาศาล
    คิดๆๆๆๆๆ ตั้งสำนักอะไรดีวะเรา จะเอาให้รวยกว่าทุกสำนัก อิอิ

    ตอบลบ
  4. พึ่งเคยเจอคนคิดเหมือนผมว่าต้องมีโทษทางอาญาแก่ผู้ที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ไม่ใช่แค่พุทธนะครับ ทุกศาสนาเลย ทั้งคริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกซ์ จะได้ไม่มีพวกอ้างความเชื่อทำเรื่องผิดๆเสียที

    ตอบลบ




counter statistics