วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ภัยแล้งหนักกลับไม่ช่วยให้คนไทยบางกลุ่มฉลาดขึ้นเลย






หลายวันมานี่ ตั้งแต่เกิดปัญหาภัยแล้ง ผมมักไปอ่าน คห. ของคนไทยในเพจข่าวต่าง ๆ

สรุปได้เลยว่า ที่ประเทศไทยไม่เจริญ เพราะระบบความคิดของคนไทยที่ไม่เจริญนี่แหละ

ปัญหาการศึกษาไทย สอนให้คนไทยจำนวนมากคิดอย่างเป็นระบบไม่เป็น คิดให้ลึกซึ้งก็ไม่เป็น มีพวกคิดตื้น ๆ เยอะมาก

บางครั้งผมก็อดไปไล่ตอบกลับพวกที่แสดงความเห็นที่เหมือนจะฉลาด แต่ที่จริงโง่มากในหลายข่าว

แต่ที่แน่ ๆ การพาดหัวข่าวของสื่อบางสื่อ มันเข้าทำนองหวังเสี้ยมคนให้ด่ารัฐบาลทั้งสิ้น


เช่น ข่าว รมว.มหาดไทยวอนขอให้ชาวนางดสูบน้ำ  ก็มีคนระดมด่าทันทีว่า ห้ามชาวนาสูบน้ำทำนา แล้วทำไมตัวมึงถึงไม่เลิกกินข้าว

เฮ่อ... ผมเศร้าจริง ๆ ที่ยังมีคนไทยโง่ ๆ อยู่มาก จนผมขี้เกียจอธิบายเลย เขาแค่ขอให้งดสูบน้ำแค่ 3 วันเท่านั้น ไม่ได้ให้งดสูบตลอดไป

และผมอยากจะบอกก่อนว่า คนกรุงเทพฯ ปีนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาขาดแคลนน้ำประปา เพราะตอนนี้การประปานครหลวงหันไปใช้น้ำดิบส่วนใหญ่จากการประปามหาสวัสดิ์แทนแล้ว ซึ่งจะเป็นน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่ผันน้ำดิบมาทางผ่านทางแม่น้ำแม่กลอง แล้วผันน้ำประปาจากโรงกรองน้ำมหาสวัสดิ์มาช่วยกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกอีกทอดนึง

ดังนั้นที่รัฐบาลต้องการให้ชาวนาหยุดสูบน้ำชั่วคราว ไม่ได้จะมาช่วยคนกรุงเทพฯ หรอกครับ

แต่ที่รัฐบาลต้องการให้ชาวนาหยุดสูบน้ำสักระยะ เพราะถึงสูบไป ก็ช่วยชาวนาไม่ได้ทั้งหมด จะกลายเป็นว่าชาวนาต้นน้ำ 100 คนอาจรอด แต่คนใช้น้ำประปาภูมิภาคล้านคนเดือดร้อน (ส่วนชาวนาปลายน้ำ ก็ตายเหมือนเดิม เพราะต้นน้ำสูบไปหมดแล้ว)

ซึ่งหมายถึง คนในพื้นที่ภาคกลางหลายจังหวัดจะไม่มีน้ำประปาใช้ หรือถ้าหนักกว่านั้น โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งอาจขาดแคลนน้ำ ก็จะพากันเจ๊งเพราะถ้าโรงงานปิด คนงานก็ตกงาน


คนไทยแม่งเก่งแต่ด่า ซึ่งทหารก็ไม่ได้จับกุมใครที่ลักลอบสูบน้ำเลยแม้แต่รายเดียว เพราะเป็นแค่การวอนขอ ขอร้อง ซึ่งชาวนาส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เพราะชาวนาเข้าใจหลักการที่ว่า น้ำกินน้ำใช้  ต้องสำคัญที่สุด

แต่ถ้าชาวนาเอาตัวรอด แต่กลับทำให้คนจำนวนมากไม่มีน้ำประปาใช้ ชาวนาก็คงรู้ว่า เท่ากับ กำลังทำบาปมหันต์

ตัวอย่าง สื่อพาดหัวเสี้ยมหวังให้คนด่าทหาร พาดหัวแรง ๆ หวังจะขายข่าวเท่านั้น ทั้งที่จริงเป็นแค่คำพูดของชาวนาคนหนึ่ง ที่พูดว่า "วันนี้ถึงแม้นทหารเอาปืนมาจ่อหัวชาวนาอย่างผมผมเองก็ต้องทนต่อสู้เพื่อสูบน้ำเข้าแปลงนาให้ได้ ข้าวตายผมหมดตัวแน่ๆ"




ย่างเมื่อเช้าผมดูข่าวหลายช่อง ไปสัมภาษณ์ชาวนาที่ไปดักสูบน้ำเข้านาตัวเอง รู้ไหมครับ นักข่าวถามว่า ทำนากี่ไร่ ?

ชาวนา 2 ราย ตอบว่า คนละ 80 ไร่ !!! (คนมีที่นา 80 ไร่ นี่ไม่ได้จนจริงหรอกครับ เพียงแต่จนเพราะบริหารจัดการไม่เป็น)

แต่ใน 80 ไร่กลับไม่มีบ่อน้ำ สระน้ำสำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแล้งเลย คือ รอใช้น้ำจากคลองชลประทานลูกเดียว 

(ดูจากในข่าวทีวี ด้านหลังชาวนาที่ให้สัมภาษณ์ทีวี เป็นทุ่งนากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่ไม่มีสระน้ำเลย แถมลักษณะเป็นเหมือนถูกเจ้าของที่นาตัวจริงจ้างให้มาสูบน้ำ เพราะมีพูดถึงผู้ใหญ่ให้มา แล้วขับรถกระบะบรรทุกเครื่องสูบมารอสูบ แล้วมีการโทรศัพท์กลับไปถามใครสักคน



คือผมได้ยินมาว่า ฤดูกาลนี้มีหลายพื้นที่ เจ้าของที่นาได้ยุให้ชาวนารีบทำนาเผื่อข้าวจะรอด แล้วจะได้ขายข้าวราคาดีกว่าปกติ แล้วพอขายข้าวได้ค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กัน เพียงแต่ตอนลงทุนชาวนาที่มาเช่าที่ต้องลงทุนเอง คือถ้าเจ๊งไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่ แต่ถ้าขายข้าวได้ค่อยมาแบ่งผลประโยชน์กัน) 



ซึ่งจริง ๆ แล้ว ชาวนาที่อยู่ในระบบชลประทานน่ะ เป็นชาวนาที่ได้อภิสิทธิ์กว่าชาวนานอกเขตชลประทานมาตลอด  คือ ได้เปรียบกว่าคนอื่นแต่กลับงอแงมากที่สุด

แล้วนายกฯ ลุงตุ่ ไม่เคยบอกให้ชาวนาเลิกทำนา แต่ไอ้สื่อบางสื่อดันพาดหัวข่าวทำนองให้คนเข้าใจผิด หาว่า ลุงตู่บอกให้ชาวนาเลิกทำนา !!

แต่ถ้าได้อ่านเนื้อหาข่าว ตลอดจนฟังที่นายกฯ พูดในรายการคืนความสุขฯ ก็จะเข้าใจเจตนาของท่านนายกฯ ว่าท่านหมายถึง อยากให้ชาวนาหันมาทำนาตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ต้องมีการจัดสรรที่ดินเพื่อให้มีทั้งปลูกข้าว ปลูกสวน ปลูกผัก แบ่งพื้นที่ขุดบ่อน้ำ ใช้เลี้ยงปลา แถมเลี้ยงไก่ เป็นต้น

เพื่อที่ชาวนาจะได้มีน้ำใช้ตลอดปีอย่างไม่ขาดแคลน โดยไม่ต้องหวังแต่น้ำจากเขื่อนอย่างเดียว

แต่ชาวนาทุกวันนี้ละเว้นวิถีดั้งเดิม เพราะชาวนานำพื้นที่ทั้งหมดที่มีมาปลูกข้าวอย่างเดียว โดยเฉพาะชาวนาในระบบชลประทาน ได้ถมบ่อน้ำ สระน้ำเดิม ๆ ทิ้งจนหมด เพื่อจะได้เอาพื้นที่มาใช้ปลูกข้าวแทน แล้วก็รอหวังพึ่งน้ำจากระบบชลประทานเพียงอย่างเดียว !!

(สังเกตจากข่าวสิ ชาวนาที่มีปัญหาในตอนนี้คือ ชาวนาในเขตภาคกลางทั้งสิ้น เพราะเป็นชาวนาในเขตชลประทาน)


ซึ่งชาวนาไทยส่วนใหญ่ คือ ผู้บริโภคน้ำมากที่สุดในประเทศมาตลอด แต่กลับสร้างมูลค่าผลผลิตจากน้ำได้ค่าต่ำที่สุด

แล้วที่แล้งหนักตอนนี้ ถ้าจำกันได้ตอนฤดูปลูกข้าวนาปรังที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขอร้องแล้วว่า ให้ชาวนางดปลูกข้าว แล้วให้มาทำงานที่รัฐบาลจะหาให้ทำ เช่น มาขุดลอกคูคลอง แต่ชาวนาก็มาไม่ทำกัน อ้างว่าค่าแรง 300 บาทไม่พอกิน สู้ปลูกข้าวไม่ได้

แต่ที่ไหนได้ พอแห่ปลูกข้าวนาปรังกันจนมีพื้นที่ปลูกข้าวมากขึ้นกว่าที่กรมชลประทานกำหนด ต่อมา ชาวนาก็ต้องมาเรียกร้องขอน้ำจากชลประทานให้มาช่วยเหลือในที่สุด

แล้วพอเข้าฤดูข้าวนาปี ก็มาเกิดฝนแล้งเพราะอิทธิพลเอลนินโญ่ ทำให้ฝนตกน้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกันกว่า 50 %

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเคยร้องขอให้ชาวนาเริ่มปลูกข้าวประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม เพราะฝนน่าจะเริ่มมาในช่วงนี้ แต่ชาวนาก็ไม่เชื่อรัฐบาลอีก ทีนี้พอข้าวขาดน้ำ ก็มาโทษรัฐบาลทั้งปี

ทั้ง ๆ ที่ ชาวนาสร้างปัญหาให้ตัวเองทั้งสิ้น

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


และเพราะชาวนาไทยทำนาแบบผิดวิธีมานานแล้ว นายกฯ จึงอยากให้ชาวนาไทยปรับเปลี่ยนวิธีทำนาใหม่ทั้งประเทศ เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปีชาวนาไทยใช้น้ำไม่คุ้มค่า

โดยนายกฯ บอกว่า จะต้องนำชาวนามาฝึกอบรมเรียนรู้วิธีการเกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ใช่บอกว่า ให้ชาวนาเปลี่ยนมาทำแบบนี้แล้วเขาจะทำได้ทันทีเลย เราต้องนำเขามาอบรมเรียนรู้ก่อน

ประเทศไทยใช้น้ำเพื่อการเกษตรร้อยละ 75 พึ่งระบบชลประทานร้อยละ 43 ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 3 อุปโภคบริโภคร้อยละ 4 รักษาระบบนิเวศน์ร้อยละ 18

น้ำ 1 ลบ.ม. คนไทยสร้างผลผลิตได้มูลค่าเพียง 180 บาทเท่านั้น
ในขณะที่มาเลเซีย ใช้น้ำ 1 ลบ.ม. สามารถสร้างผลผลิตที่มีมูลค่ามากถึง 800 - 900 บาท

ที่สำคัญที่สุด คนไทยใช้น้ำเปลืองติด 1 ใน 5 อันดับแรกของโลก ซึ่งถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เราอาจต้องซื้อน้ำจากต่างประเทศมาใช้ ซึ่งกำลังมีแนวโน้มว่า กำลังจะคิดหาทางไปซื้อน้ำจากสาละวิน และแม่น้ำโขง ผันมาใช้แล้ว

แต่ผมอยากฝากท่านนายกฯ ลุงตู่ ไว้สักเรื่องก็คือ "เหตุผลที่ชาวนาจำนวนมาก เลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ได้" 

-------------------

สาเหตุที่ชาวนาจำนวนมากเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยว แล้วหันมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ไม่ได้ 

ก็เพราะ ชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องเช่าที่ดินทำนา ดังนั้นชาวนาจึงไม่สามารถกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินแบบใหม่ได้เลย เพราะไม่ใช่ที่ดินของตัวเอง

คือ ชาวนามีหน้าที่มาเช่าที่ดินเพื่อปลูกข้าวได้อย่างเดียว เพราะเจ้าของที่นาเขาให้เช่าสำหรับทำนาได้อย่างเดียวเท่านั้น

ถ้าอยากจะเแบ่งพื้นที่ขุดบ่อเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่บนบ่อปลา ปลูกพืชสวนครัว ปลูกผลไม้ ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่จึงแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ดังนั้น รัฐบาลต้องหาทางแก้ปัญหาชาวนาที่เช่าที่ดินทำนา ว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยให้เขาสามารถหันมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ได้



ตอนนี้เริ่มมีพวกปลุกปั่น ให้ชาวนาเกลียดคนกรุงเทพฯ หาว่า ห้ามชาวนาสูบน้ำ เพื่อให้คนกรุงเทพ ฯ มีน้ำประปาใช้

ขอบอกว่า คนกรุงไม่เดือดร้อนเรื่องน้ำประปา ไม่เกี่ยวกับชาวนาสูบน้ำหรือไม่ เพราะกรุงเทพฯ ใช้น้ำประปาจากน้ำดิบหลายแห่ง อาจจะมีปัญหาค่าความเค็มสูงขึ้นบ้างในบางวัน แต่ก็ไม่เกินค่ามาตรฐานน้ำขององค์การอนามัยโลก

เหตุผลนึงที่การประปานครหลวงเคยแถลงข่าวว่า ที่การประปานครหลวงได้ลดการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงนั้น ก็เพราะต้องการให้เหลือน้ำจำนวนมากพอที่ไปผลักดันน้ำเค็มออกไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดกับพืชผลของเกษตรกรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา 

อย่างที่ผ่านมาในช่วงหลายเดือนมานี้ ชาวสวนนนทบุรีหลายรายหันมาใช้น้ำประปารดต้นไม้แทน เพราะภาวะน้ำเค็มหนุนสูงเริ่มมีปัญหามาเป็นระยะ ๆ การประปานครหลวงก็ได้ให้ส่วนลดค่าน้ำประปาเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในเบื้องต้น

ดังนั้นที่รัฐบาลห้ามชาวนาสูบน้ำ หมายถึง คนพื้นที่ภาคกลางจะไม่มีน้ำประปาภูมิภาคใช้ต่างหาก ไม่ได้หมายถึง ห่วงคนกรุงเทพฯ เลย

เพราะน้ำที่เขื่อนปล่อยมาในช่วงนี้เพื่อให้การประปาภูมิภาคผลิตน้ำประปา รวมถึงอาจมีชาวนาดักสูบน้ำ ซึ่งกว่าน้ำจะมาถึงกรุงเทพฯ ปริมาณน้ำก็ไม่ได้เหลือมากเท่าไหร่แล้ว หากการประปานครหลวงยังใช้น้ำดิบในปริมาณมากเหมือนปกติ ก็จะทำให้การผลักดันน้ำเค็มเป็นไปได้ยากขึ้น

ส่วนไอ้พวกที่ปลุกปั่นสร้างความแตกแยก พอพวกมันปลุกปั่นเสร็จ พวกมันก็อยู่กรุงเทพฯ แล้วใช้น้ำประปานครหลวงเหมือนเดิม โถ ไอ้เลว !!

ผมเชื่อเรื่องกุศลผลบุญ เช่น หากชาวนายอมเสียสละรออีกสักนิด กุศลผลบุญก็อาจช่วยให้ต้นข้าวแข็งแรงขึ้น ไม่ตายง่าย ๆ แล้วเดี๋ยวอาจมีฝนตกมาช่วยในที่สุด

ถึงฝนแล้ง หากเราไม่แล้งน้ำใจ เทวดาฟ้าดินจะเมตตา

-------------------

มีชาวนาบางคนคิดแบบนี้จริง ๆ 

มีชาวนาบางคนพูดยุยงกันว่า ปลูกข้าวไปเถอะ ถ้าเจ๊งก็ค่อยออกไปเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ

แม้รัฐบาลจะเคยบอกว่า จะไม่ช่วยเหลือ เพราะห้ามแล้วไม่ฟัง

แต่ชาวนาก็เถียงว่า รัฐบาลหน้าบางทั้งนั้น ไม่ว่าจะรัฐบาลเลือกตั้ง หรือรัฐบาลทหาร เพราะพอเจอชาวนาออกมาประท้วงเรียกร้องกันเยอะ ๆ เดี๋ยวรัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินช่วยเหลืออยู่ดี เพราะกลัวเสียคะแนนนิยม

ดังนั้น เราจะเห็นว่า ชาวนาไทยบางพวกจึงไม่ค่อยเชื่อรัฐบาลกันเลย ทั้ง ๆ ที่ความจริง

นาปรัง หมายถึง ทำนานอกฤดูฝน ถ้าชาวนาในเขตชลประทานก็จะใช้น้ำในระบบชลประทานในการเพาะปลูก ซึ่งต้องฟังตามคำแนะนำของกรมชลประทานว่า ควรปลูกข้าวในพื้นที่เท่าไหร่ เพื่อให้เหมาะสมกับน้ำในระบบชลประทานที่มีอยู่ แต่นาปรังฤดูกาลที่แล้ว ชาวนาภาคกลางก็แห่กันทำนามากเกินกว่าที่กรมชลประทานแนะนำ

ทั้ง ๆ ที่ในช่วงหลายปีมานี้ กรมการข้าวพยายามรณรงค์ให้ชาวนาทำนาปีละไม่เกิน 2 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหลือให้ปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อยทดแทน แต่ชาวนาภาคกลางไม่สน ฉันจะทำนาปีละ 3 ครั้ง แล้วจะทำไม ???


นาปี หมายถึง การทำนาในฤดูฝน ซึ่งควรใช้น้ำฝนตามธรรมชาติเป็นหลักในการเพาะปลูก แต่ชาวนาในระบบชลประทาน คิดแต่จะมาเอาน้ำในระบบชลประทานมาใช้เพาะปลูกแทนน้ำฝนตลอด แต่ไม่มีบ่อกักเก็บน้ำ ในที่นากันเลย เป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปีจนเสียนิสัยไปแล้ว

ในเมื่อรัฐบาลบอกว่า ฝนจะแล้ง ฝนจะทิ้งช่วง ก็ควรชะลอการปลูกข้าวนาปีออกไปก่อน แต่ชาวนาระบบชลประทานไม่สน ฉันจะปลูกซะอย่าง ฉันจะเอาน้ำในระบบชลประทานมาใช้ซะอย่างใครจะทำไม ???

ลองมองไปที่ชาวนาภาคอีสาน ซึ่งนาข้าวส่วนใหญ่อยู่นอกระบบชลประทาน ถามว่า ฝนแล้ง นาล่ม ชาวนาอีสานจะไปโทษใครดี โทษที่รัฐบาลที่ยังไม่มีคลองชลประทานให้เขาสูบน้ำเหมือนชาวนาภาคกลางดีไหม ?  (งั้นต้องโทษรัฐบาลในอดีตทุกรัฐบาลที่ผ่านมา)

ในกรณีที่น้ำแทบจะไม่เหลือ มีไม่พอใช้ รัฐบาลก็ต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้น้ำ นั่นคือ น้ำเพื่อกิน เพื่ออุปโภคบริโภคสำหรับมนุษย์ ต้องสำคัญที่สุด

แต่ผมก็ไม่โทษชาวนาที่ดักสูบน้ำในตอนนี้หรอก เพราะคนเราเมื่อเข้าตาจน จะเป็นหนี้ท่วมหัว เขาก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดแบบนี้แหละ

เพราะปัญหาแท้จริงมันอยู่ที่วิธีการปลูกข้าวของชาวนาที่ผิดมานานแล้ว คือ ชาวนาละทิ้งวิถีดั้งเดิม ละทิ้งบ่อน้ำ ไม่ทำตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่กัน

คลิกอ่าน พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้า กับเหตุผลที่ชาวนาไม่มีน้ำทำนา


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 กรกฎาคม 2558 เวลา 04:45

    ด้วยความเคารพนะครับ ผมได้ข้อมูลจากการประปาว่า กรุงเทพฝั่งตะวันตกที่ใช้น้ำจากโรงกรองน้ำมหาสวัสดิ์นั้น มีกำลังผลิตวันละ 1,700,000 ลบ.ม./วัน ซึ่งได้น้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณ์จริง แต่ท่อประธานขนาด 1 เมตร ของกรุงเทพฝั่งตะวันตกที่จะเดินมาเชื่อมกับท่อประปาฝั่งตะวันออก(แถวย่านสุขสวัสดิ์) ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นกรุงเทพตะวันออกจึงยังเสี่ยงอยู่ที่จะเกิดปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้มาตรฐาน (เพราะน้ำเค็มหนุนสูง) ขณะเดียวกัน กรุงเทพตะวันออกได้รับน้ำจากโรงกรองน้ำบางเขน 5,000,000 ลบ.ม./วัน และไม่มีตัวช่วยใดๆ ดังนั้น ถ้าฝนไม่ตกเหนือเขื่อนเพิ่ม และไม่สามารถปล่อยน้ำมาไล่น้ำเค็มได้ ให้ระวังเรื่องน้ำประปาจะเค็ม และเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุที่เป็นโรคความดันนะครับ (ยกเว้นบ้านที่ใช้ระบบ RO อาจไม่พบปัญหานี้)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก โรงกรองน้ำทุกโรงใช้น้ำดิบจากคลองประปาตะวันออก รวมกันวันละ 3.9 ล้านลบ.ม. ครับ ไม่ใช้ 5 ลบ.ม.
      .
      เมือเกิดวิกฤติภัยแล้ง กปน. ลดการใช้น้ำดิบจาก วันละ 3.9 ล้าน ลบ.ม. เหลือวันละ 3.7 ล้าน.ลบ.ม. ครับ
      .
      ดังนั้น ปัญหาน้ำมีความเค็มบ้างจึงเกิดขึ้นในบางวัน ซึ่งบางวันก็จะลดการผลิตน้ำลง ใช้น้ำดิบที่สำรองไว้ไปก่อนครับ
      .
      คือ ถ้าน้ำเค็มไม่หนุนถึงอ.สำแล แบบ 3 วันติดต่อกัน ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำประปาเค็มขึ้นครับ
      .
      แต่ถึงเค็มขึ้น ก็ยังไม่เกินค่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกครับ
      .
      โดยตอนนี้ กปน. ได้เริ่มด้วยการปรับประสิทธิภาพการผลิตน้ำ โดยนำน้ำในระบบผลิตของโรงงานผลิตน้ำบางเขนกลับมา recycle ใหม่ ทำให้ได้ปริมาณน้ำเพิ่มอีกวันละ 1 แสนคิว (ลูกบาศก์เมตร)
      ส่วนโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ มีการเพิ่มปริมาณน้ำดิบอีก 8 หมื่นคิว (ลูกบาศก์เมตร) ต่อวัน ส่วนปัญหาน้ำทะเลหนุนนั้น คงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วันพระ แต่ กปน. คาดการณ์ว่าจะสามารถผันน้ำที่ผลิตได้จากโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำทะเลหนุน เข้ามาเสริมในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา อีกวันละ 2 แสนคิว (ลูกบาศก์เมตร) ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาได้
      .
      ไปอ่านรายละเอียดตามนี้ครับ https://www.facebook.com/MWA.CO.TH/posts/929141653794593

      ลบ




counter statistics