วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เมื่อคำรณวิทย์รอดคุกญี่ปุ่น ก็ไม่ควรรอดคุกไทย






เป็นข่าวหลุดรอดมาร่วมอาทิตย์แล้วว่า อัยการญี่ปุ่นคงจะไม่สั่งฟ้องคำรณวิทย์ ข้อหาพกอาวุธขึ้นเครื่องบินที่ญี่ปุ่น

และสุดท้ายเมื่อครบกำหนดฝากขัง 20 วัน อัยการญี่ปุ่นก็มีคำสั่ง ไม่สั่งฟ้องคำรณวิทย์ ตามคาด แต่จะทางการญี่ปุ่นจะยึดปืนของกลางเอาไว้

แต่อยากให้ทราบว่า ที่อัยการญี่ปุ่นไม่สั่งฟ้องนั้น ไม่ได้หมายความว่า คำรณวิทย์ไม่ผิด แต่เป็นการไม่ฟ้องอย่างมีเงื่อนไข ที่เกิดจากการตกลงกันของฝ่ายทางการไทยที่พยายามวิ่งเต้นช่วยเหลือเต็มที่

ซึ่งก็ไม่รู้จะวิ่งเต้นช่วยเหลือไปทำไม ? (แต่ความจริงก็น่าจะรู้นะ)

แหล่งข่าววงในบอกว่า เป็นการขอร้องให้ทางการญี่ปุ่นส่งตัวคำรณวิทย์กลับมาดำเนินคดีในไทยแทน เพราะถือว่า เรื่องนี้ถือเป็นความผิดของฝ่ายไทยเช่นกัน ที่ปล่อยให้คำรณวิทย์นำปืนจิ๋วออกนอกประเทศไทยไปได้

แน่นอน สายสัมพันธ์อันดีระหว่างทางตำรวจไทยและทางตำรวจญี่ปุ่น และสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ประกอบกับคำรณวิทย์เป็นถึงนายตำรวจใหญ่ของไทย หากต้องติดคุกในญี่ปุ่น ย่อมสร้างความเสียหายด้านภาพลักษณ์ให้หลายฝ่าย

แม้อัยการญี่ปุ่นจะไม่สั่งฟ้องคำรณวิทย์ แต่ก็มีข้อแม้ห้ามคำรณวิทย์เข้าญี่ปุ่นอย่างน้อย 1 ปี ในกรณีเป็นการถูกส่งตัวกลับแบบธรรมดา

แต่ถ้าเป็นอีกกรณี คือ  คำรณวิทย์ถูกทางการญี่ปุ่นผลักดันให้ออกจากประเทศญี่ปุ่น (เนรเทศ) กรณีนี้จะหนักยิ่งกว่า คือเข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้าม ถูกขึ้นแบล็คลิสต์ของญี่ปุ่น คำรณวิทย์ก็จะถูกห้ามเข้าญี่ปุ่นในระยะเวลาที่นานกว่า 1 ปีแน่นอน แต่จะเป็นกี่ปี ก็แล้วแต่ทางการญี่ป่นจะประกาศอีกที

การถูกญี่ปุ่นห้ามเข้าประเทศ ถือเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง คือ ไม่ต้องติดคุกให้เปลืองข้าวญี่ปุ่น แต่คือมาตรการลงโทษให้อับอายขายขี้หน้า ซึ่งคนอย่างคำรณวิทย์จะรู้สึกอายเป็นหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่..

------------------------

แล้วเมื่อคำรณวิทย์ กลับมาไทยแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องทำคือ สอบสวนกรณีพกอาวุธออกจากประเทศไทยไปได้อย่างไร 

ซึ่งนี่แหละที่ทางการไทยถึงต้องการให้คำรณวิทย์กลับมา เพื่อจะได้เปิดปากแฉถึงผู้สมรู้ร่วมคิด หรือ ผู้อำนวยความสะดวกให้คำรณวิทย์พกปืนออกจากไทยไปได้ง่าย ๆ

แต่อย่างไรก็ตาม คำรณวิทย์จะต้องมีความผิดในคดีพกอาวุธผ่านออกจากไทยไปญี่ปุ่น เพราะถือว่า ทางการไทยได้มีการขอร้องให้ญี่ปุ่นส่งตัวคำรณวิทย์กลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้ว

และต้องไม่ลืมว่า ทางการญี่ปุ่นได้สอบสวนแล้วว่า ปืนจิ๋วของคำรณวิทย์ไม่มีเลขทะเบียนของไทย แสดงว่า คำรณวิทย์จะต้องเจอคดีมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองอีกคดีด้วย

ถ้าหากทางการไทย หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ดำเนินคดีกับคำรณวิทย์ ก็เท่ากับ สร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้กับนายตำรวจใหญ่ให้เกิดขึ้นจริง ๆ

และเท่ากับว่า ทางการไทยไม่ทำตามที่ได้รับปากกันเป็นการภายในกับทางการญี่ปุ่นเอาไว้ ว่าจะขอนำตัวคำรรณวิทย์กลับมาดำเนินคดีในไทยแทน (เพื่อรักษาหน้าภาพลักษณ์ของ สนง.ตำรวจแห่งชาติ)

ดังนั้น ถ้าคำรณวิทย์ไม่มีโทษความผิดคดีนี้ในไทยอีก ก็เท่ากับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติช่วยเหลือพวกพ้องเดียวกันให้เป็นอภิสิทธิ์ชน 


พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง กลับจากคุกญี่ปุ่นมาถึงไทย เด่นชัดด้วยเข็มขัดแอร์เมส 

ส่วนการที่ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้แสดงความเห็นว่า การโหลดกระเป๋าไว้ใต้เครื่อง จึงทำให้ไม่ถูกตรวจพบ เพราะเจ้าหน้าที่จะเน้นตรวจเฉพาะสัมภาระที่นำขึ้นบนเครื่องบินมากกว่า เพราะสามารถหยิบฉวยนำมาใช้ได้

คือผมว่า ถ้าท่านนวยนิ่ม ลองพูดแบบนี้ ก็เท่ากับยิ่งซ้ำเติมความโหลยโท่ยของมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยของสนามบินและสายการบินแล้วล่ะครับ

แสดงว่า ต่อไปใครพกปืนแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าโหลดไว้ใต้เครื่อง ก็เอาออกนอกประเทศไทยได้สบาย ๆ อย่างนั้นเหรอครับ ??

เผลอ ๆ นี่อาจเป็นแผนสองชั้นของญี่ปุ่น คือ ยอมส่งตัวคำรณวิทย์กลับไทย เพื่อให้ไทยพิสูจน์มาตรฐานความปลอดภัยทางการบิน

ซึ่งถ้าไทยยังไม่เอาผิดคำรณวิทย์อีก  ICAO อาจปรับไทยสอบตกมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินตลอดกาลไปเลยก็ได้ครับ

คลิกอ่าน ท่านอำนวย มั่วนิ่มช่วยมโน ปืนจิ๋วไม่ใช่ของคำรณวิทย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น




counter statistics