วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ความห่วยของละครช่อง 3 "คนละขอบฟ้า"
วันก่อน ได้มีโอกาสดูละครช่อง 3 เรื่อง "คนละขอบฟ้า" อยู่แปบนึง ที่มีเกรท วรินทร เป็นพระเอก
บอกตรง ละครคนละขอบฟ้า แม่งห่วยครับ
มีอย่างที่ไหน พระเอกเป็นนายจ้างของนางเอก แม่งล่วงละเมิดทางเพศนางเอกหลายครั้งหลายหน
(ซึ่งละครเรื่องที่แล้ว "นางอาย" เกรท ยังเล่นเป็นพระเอกสุภาพบุรุษให้เกียรติผู้หญิงอยู่เลย)
คือ พอนางเอกเถียงพระเอก ไอ้พระเอกมันเลยทั้งกอดทั้งจูบเพื่อใช้ปิดปากนางเอก
(คือ นางเอกมีแฟนอยู่แล้วแต่ทำงานอยู่ที่อื่น แต่นางเอกมาทำงานสวนยางภาคใต้กับพระเอก เพราะความจำเป็นเรื่องหนี้สินของครอบครัว)
ไม่ว่านางเอกจะยินดีในการกระทำของพระเอกหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากไม่ใช่แฟนกัน ไม่ใช่สามีภรรยากัน พฤติกรรมแบบนี้เข้าข่ายนายจ้างล่วงละเมิดทางเพศลูกจ้าง
คือ ไอ้ละครห่วย ๆ แบบนี้ ประเภท "จำเลยรัก" พระเอกข่มขืนนางเอก หรือ "ดาวพระศุกร์" พระเอกก็ข่มขืนนางเอก
หรือจะแค่ จูบ อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ โดยพระเอกที่เป็นนายจ้างจูบลูกจ้างหญิง
ละครห่วย ๆ แบบนี้มันต้องไปฉายหลังเที่ยงคืนเท่านั้น (หรือดีที่สุดคือ ละครแบบนี้ไม่ควรผลิตออกมาด้วยซ้ำ)
ด่าใครถึงจะถูกตัววะนี่ ด่า กสทช. หรือเปล่า หรือด่าช่อง 3 หรือด่าผู้จัดละครดี ??
งั้นด่าแม่งหมดแหละ พฤติกรรมห่วย ๆ ของพระเอกเลว ๆ แบบนี้แหละที่ทำให้สังคมไทยเสื่อมลง
เพราะเยาวชนที่ดูละคร อาจเข้าใจว่า ถ้าอยากเป็นแบบพระเอกในละคร ได้ผู้หญิงสวย ๆ มาครอบครอง ก็ต้องล่วงละเมิดผู้หญิงก่อน
ถ้าใช้หลักใจเขาใจเรา คุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อกรณีแบบนี้ เช่น สมมุติว่าถ้าลูกสาวของคุณ แฟนของคุณ หรือญาติพี่น้องผู้หญิงของคุณ ไปเจอการล่วงละเมิดทางเพศโดยนายจ้างผู้ชาย คุณก็คงจะยิ่งเข้าใจ
ดังนั้น เมื่อเราในฐานะผู้ชายไม่ชอบให้ใครทำกับคนที่เรารักเช่นไร เราก็อย่าไปทำกับใครที่เขาก็เป็นที่รักของคนอื่น ๆ เช่นกันครับ
-------------------
สรุปท้ายบทความ
คือ ปกติผมไม่ได้ดูละครไทยเท่าไหร่นัก เพราะเบื่อละครไทยที่บ่มเพาะความเลวให้แก่สังคมไม่เลิกรา
ผมจะชอบดูละครเกาหลีใต้ และละครญี่ปุ่นมากกว่า เพราะตัวละครของเขาแม้จะเลวหรือชั่วอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยหลักการขั้นพื้นฐานเช่น การให้เกียรติผู้อาวุโสกว่า หรือการให้เกียรติผู้หญิง เขาจะมีอยู่เสมอแม้ในตัวร้าย
หรือการมีมารยาท แม้ต้องแสดงมารยาทกับศัตรูก็ตาม ก็ยังปรากฏให้เห็นในซีรีย์เกาหลีอยู่เสมอ
แทบหาตัวละครที่เลว ไร้มารยาทแบบไร้เหตุผลไม่ได้เลยในซีรีย์เกาหลีและญี่ปุ่น
ส่วนพระเอกละครเกาหลี นี่แทบไม่ต้องพูดถึง โคตรจะสุภาพบุรุษครับ แม้เนื้อหาในละครบางครั้ง พระเอกอาจร้ายกับนางเอก แต่ความเป็นลูกผู้ชายและความเป็นสุภาพบุรุษจะต้องมีเป็นพื้นฐานในพระเอกซีรีย์เกาหลีเสมอ
ด้วยความเป็นจริง ผู้ชายเกาหลีใต้มักไม่ให้เกียรติผู้หญิงมากนัก
ละครเกาหลีจึงต้องพยายามสอนประชาชนเกาหลีผ่านตัวละครในซีรีย์เรื่องต่าง ๆ เพื่อให้สังคมของเกาหลีใต้ดีงามขึ้น และเพื่อให้ผู้ชายเกาหลีใต้มีความเป็นสุภาพบุรุษมากขึ้น
ในขณะที่สังคมไทยนับวันจะยิ่งห่วยลง ๆ แต่ละครไทยก็ยังยัดเยียดนิสัยเลว ๆ แบบไร้เหตุผลของตัวละครไทยให้คนไทยเสพไม่เลิก
แล้วแบบนี้สังคมไทยจะไม่เสื่อมถอยลงได้อย่างไร จริงไหมครับ
เช่น แม่ของนางร้าย วัน ๆ ก็เอาแต่ยุยงลูกสาวให้จับผู้ชายรวย ๆ แล้วก็หาทางทำร้ายนางเอกด้วยวิธีโง่ ๆ และน่าเกลียดโดยไม่อายชาวบ้านในที่สาธารณะ ละครไทยที่มีแม่เลว ๆ สอนเรื่องเลว ๆ ให้ลูกสาวเลวตามแบบนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย
ผมเชื่อว่า ละครช่องอื่น ๆ อีกหลายช่อง ก็ยังมีละครห่วย ๆ ทำลายศีลธรรมอันดีในสังคมปรากฏให้เห็นอีกหลายช่อง เพียงแต่ผมไม่ได้ดูเท่านั้น
ผมว่า ผู้ที่มีอำนาจควบคุมการนำเสนอละครของไทย เข้าขั้นห่วยแตกครับ ที่ยังปล่อยให้ละครเลว ๆ ออกอากาศทำร้ายทำลายสังคมไทยต่อไป
คลิกอ่าน วิจารณ์ความบกพร่องของโฆษณาไทยประกันชีวิต ชุด โอกาส
คลิกอ่าน ทำไมละครเกาหลีส่วนใหญ่ถึงดีกว่าละครไทย
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ยิ่งลักษณ์ฉลาดกว่าบก.ลายจุด แต่สาวกโง่เหมือนเดิม
เมื่อปีที่แล้ว บก.ลายจุด ออกมาทำข้าวสารลายจุด ซึ่งเป็นชนิดข้าวหอมปทุม น้ำหนัก 5 กก. ขายราคาถุงละ 200 บาท (ขายแพงกว่าราคาตลาดทั่วไป)
บก.ลายจุด อ้างว่า นี่ไงซื้อข้าวเปลือกหอมปทุมจากชาวนาตันละ 15,000 บาท แบบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ทำข้าวสารขายได้กำไร
ผมเคยเขียนบทความเก่าไว้แล้วว่า สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เขารับซื้อข้าวเปลือกหอมปทุม ที่ราคาตันละ 16,000 บาทโว้ย
นี่คือสิ่งที่ บก.ลายจุดโม้หลอกพวกเสื้อแดงด้วยกันเอง เพราะ บก.ลายจุดซื้อแค่ตันละ 15,000 บาท ถูกกว่าในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์รับซื้อตันละ 1,000 บาท
บก.ลายจุด ไม่เคยบอกว่า ไปซื้อข้าวเปลือกมาจากชาวนาคนไหน ซื้อทั้งหมดกี่เกวียน ซื้อจากชาวนากี่คน แล้วก็อ้างแถๆ ว่า ต้องเก็บเป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของชาวนาที่เข้าร่วมโครงการข้าวสารลายจุด
เอ.. นี่ตกลงขายข้าวหรือขายกัญชาหว่า? ถึงต้องเก็บเป็นความลับ อิอิ
ในเมื่อ บก.ลายจุด ไม่ระบุแหล่งที่มาการซื้อข้าวเปลือกว่า ไปซื้อมาจากชาวนารายใด
ผมก็เลยสันนิษฐานว่า บางที บก.ลายจุด ก็แค่ไปซื้อข้าวหอมปทุมยกกระสอบจากโรงสี กระสอบละ 100 กก. ราคาในเวลานั้นคือกระสอบละ 2,000 บาท เฉลี่ยตกกิโลกรัมละ 20 บาทเท่านั้น
ถ้า บก.ลายจุด เอาข้าวสารกระสอบมาแบ่งขายใส่ถุงละ 5 กก. แล้วขายถุงละ 200 บาท ก็เท่ากับ บก.ลายจุดได้กำไรจากข้าวสารลายจุดขนาด 5 กก. ถุงละ 100 บาทแล้ว ฮ่า ๆ ๆ
คลิกอ่าน แค่ บก.ลายจุดซื้อข้าวสารจากโรงสีมาบรรจุขายก็รวยแล้ว
แต่ บก.ลายจุด ก็ยังดีนะ ทำบรรจุภัณฑ์สวยงาม เพื่อขาย แต่ทั้งหมดที่ บก.ลายจุด ทำนั้น ก็แพ้คุณยิ่งลักษณ์
เพราะคุณยิ่งลักษณ์ เธอแค่ไปนั่งยอง ๆ ซึ่งคือท่าถนัดของเธอ เพื่อซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนา(หน้าม้า) กิโลกรัมละ 25 บาท จำนวน 100 กิโลกรัม เป็นเงิน 2,500บาท ตามรายงานข่าวในวันนั้น
แล้วยิ่งลักษณ์ก็ยังซื้อข้าวเปลือกตันละ 12,000 บาท จำนวน 1 ตันจากกลุ่มเกษตรกรชุมชุน เพื่อเอาหน้าในวันนั้นอีกอย่าง (ทำไมไม่ซื้อตันละ 15,000 บาทหว่า?)
พอวันต่อมา ชาวนาที่มานั่งหน้าเศร้าขายข้าวให้ยิ่งลักษณ์ ก็หายหัวไปหมด ไม่มานั่งขายต่อ
แต่ยิ่งลักษณ์ เธอเด็ดสะระตี่กว่า เพราะวันต่อมา เธอกลับไปเอาข้าวสารมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้ง 10 ตัน มาขายกิโลกรัมละ 20 บาท ในขนาดถุงละ 5 กิโลกรัม ที่ห้าง ๆ หนึ่ง ขายแค่ชั่วโมงเดียวหมด!! (สุโค่ย !! 4 ซีซั่น)
ยิ่งลักษณ์ อ้างว่า เธอมาขายข้าวสารช่วยชาวนา แต่ก็ไม่ยอมระบุว่า ซื้อข้าวสารจากชาวนารายไหน ซื้อจากชาวนากี่คน จำนวนตั้ง 10 ตัน!!
ดังนั้น เมื่อยิ่งลักษณ์ไม่ระบุที่มาที่ไปของข้าวให้ชัดเจน
ผมก็ขอสันนิษฐานเองว่า ยิ่งลักษณ์อาจไปรับข้าวสารมาจากโรงสีเครือข่ายเจ๊ดอ. ที่ร่วมกันกดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา จนเหลือกิโลกรัมละไม่ถึง 5 บาท
แล้วยิ่งลักษณ์ก็ไปรับข้าวสารจากโรงสีเครือข่ายเจ๊ดอ มาขายให้ประชาชนในราคากิโลกรัมละ 20 บาทอ้างว่า ขายช่วยชาวนา เย้ !! ฟันกำไรเห็น ๆ!!
นี่เท่ากับ ยิ่งลักษณ์ คือ แม่ค้าคนกลางชัด ๆ (555)
แต่ยิ่งลักษณ์ดันตัดราคาข้าวหอมมะลิที่ควรเป็น คือ ข้าวหอมมะลิควรมีรคากิโลกรัมละ 35 บาทขึ้นไป นี่เท่ากับทำร้ายชาวนาชัด ๆ
แถมยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องไปจ้างทำถุงบรรจุข้าวสาร 5 กก. ที่มียี่ห้อสวยงามแบบที่ บก.ลายจุดเคยทำด้วย เพราะแค่ใส่ถุงก๊อบแก๊บ ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้ว
ดังนั้น ผมถึงขอสรุปว่า ยิ่งลักษณ์ฉลาดกว่า บก.ลายจุด เห็น ๆ ฮ่า ๆ
ที่สำคัญคือ ทั้งสองคนไม่ได้ไปซื้อข้าวจากชาวนา แต่ไปรับข้าวมาจากโรงสีมาทั้งคู่ เข้าใจไหม !!
----------------
เมื่อผู้สื่อข่าวถามยิ่งลักษณ์ว่า "จะไปซื้อข้าวจากโรงสีที่ร่วมโครงการรับจำนำข้าวมาขายหรือไม่"
ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า "ต้องดูตามความเหมาะสม ความจริงจะรับซื้อตรงไหนก็ได้ แต่ต้องทำตามศักยภาพของตัวเอง ในอนาคตไม่ว่าสินค้าใดเดือดร้อน หากตัวเองคิดช่วยได้ก็จะช่วย"
โถ กล้าพูดนะว่า ทำตามศักยภาพของตัวเอง??
แล้วตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีเงินจะรับซื้อข้าว(จำนำ)จากชาวนาแล้ว ทำไมไม่หยุดโครงการ ยังจะดื้อด้านกู้เงินมาซื้อจนขาดทุนหลายแสนล้านบาท หา!!
เหอะ ๆ แล้วข้าวสารเหลือในโกดังจำนำข้าวของรัฐบาลมากกว่า 15 ล้านตัน ไอ้ข้าวเหลือรอเสื่อมนี่แหละ ที่เป็นตัวทำให้กลไกลราคาข้าวในตลาดของไทยผิดปกติมาหลายปี (นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวเขาว่างั้น)
ทำไมยิ่งลักษณ์ไม่ไปเหมาข้าวเสื่อม ข้าวรอเสื่อม ที่ค้างในโกดังจำนำข้าวของรัฐบาล มาขายนะ คิดสิคิด !!
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559
หยุดวาทกรรมแบ่งแยกชนชั้นอำมาตย์ไพร่ (ทำไมคนไทยยังไม่รวย)
*หยุดวาทกรรมแบ่งแยกชนชั้นของพวกล้มเจ้า (ทำไมคนไทยถึงจน)*
คุณเชื่อไหม แรงงานต่างด้าวที่มาทำมาหากินในประเทศไทยมีจำนวนหลายล้านคน แล้วมีมากมายหลายคนที่มาร่ำรวยบนแผ่นดินไทยนี่แหละ
ถ้าประเทศไทยไม่รวยจะจ้างแรงงานต่างด้าวหลายล้านคนได้เหรอ จริงมั้ย?
ฉะนั้น ไอ้วาทกรรมแบ่งแยกชนขั้น อำมาตย์ไพร่ วาทกรรมสร้างความแตกแยกให้คนไทยด้วยกัน ผมยังเห็นมีคนเลวยังนำมาใช้อีก
แผ่นดินไทยนี้คือแผ่นดินทองของคนฉลาด ขยันทำมาหากินทุกคนเสมอ
(เกษตรกรที่เชื่อเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงก็รวยทั้งนั้น)
เช่น ถ้าแผ่นดินนี้กีดกันคนต่างด้าว คนจีนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาหากินบนแผ่นดินนี้ คงไม่ร่ำรวยจนเป็นมหาเศรษฐีกันมากมายหรอกจริงไหม?
ฉะนั้น ที่คนไทยไม่รวย เพราะอะไรกันแน่ คิดสิคิด!!
แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เพราะอำมาตย์ไพร่ ตามที่มีพวกคนเลวพยายามสร้างวาทกรรมลวงโลกนี้
หรือเช่น เศรษฐีเชื้อสายอินเดียที่บริจาคทองคำ 30 ล้านบาทถวายบูรณะพระเจดีย์ที่นครศรีธรรมราช เขาก็ทำมาหากินสุจริตจนร่ำรวยบนแผ่นดินทองนี้แหละ
เมฆที่โรงเรียนมัธยมเทศบาลนครรังสิต เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 เสมือนในหลวง ร.9 ทรงกอดสมเด็จย่า ประหนึ่งสมเด็จย่ามารับในหลวงเสด็จสู่สรวงสวรรค์
------------
หยุดวาทกรรมโทษแบ่งแยกชนชั้นเถอะ!!
นายกรัฐมนตรีประเทศนี้ก็มาจากเด็กวัดตั้งหลายคน มาจากลูกแม่ค้า มาจากลูกคนจีน ก็มีมาแล้ว
ทุกคนในประเทศนี้ สามารถยกระดับฐานะและเกียรติในสังคมไทยได้เสมอ ฉะนั้นอย่ามัวแต่หลงโง่ไปเชื่อวาทกรรมโง่ ๆ ของพวกคนเลวหนักแผ่นดินอีกเลยครับ
คลิกอ่าน ความเลวของสมศักดิ์ เจียม กรณีพระประชวรของในหลวง
-->
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ความเลวสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กรณีพระประชวรของในหลวง
ถ้าคุณผู้อ่านติดตามอ่านบทความผมมานานพอประมาณ ผมนี่เคยเขียนบทความด่าลุงยิ้ม ตาสว่าง สมัยช่วงการชุมนุม กปปส.
จนเมื่อลุงยิ้ม ตาสว่าง ป่วยหนัก จนกระทั่งเสียชีวิตไปแล้ว ผมไม่เคยเขียนกรณีลุงยิ้มป่วยและเสียชีวิตเลย ทั้งในเฟสและในบล็อค
เหตุเพราะคนเรามีกรรมเป็นของตนเอง และโดยมารยาทของเพื่อนมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกัน เราไม่ควรเอาความเจ็บป่วยของใครมาวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงอคติ
อย่างกรณีปอ ทฤษฎีป่วยตอนนั้น ผมก็จะเขียนในเชิงให้กำลังใจและเอาใจช่วยเขาให้หายป่วย
หากจะเขียนวิจารณ์เรื่องอาการเจ็บป่วยของใครด้วยใจอคติและความเกลียดชัง จนถึงแฝงแช่ง ต่อให้เสแสร้งใช้คำสุภาพแค่ไหน ก็ดูออกว่ามีเจตนาดีหรือชั่ว
ฉะนั้นใครก็ตามเอาความเจ็บป่วยของคนอื่นมาล้อเล่น หรือวิจารณ์ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ คน ๆ นั้นมันก็เลวสุด ๆ แล้วครับ
อย่างกรณีข่าวลือทักษิณเป็นมะเร็งอัณฑะ อาจมีการเอามาล้อเลียนกันเอาฮา แต่นั่นมันแค่ข่าวลือ
แต่สำหรับผมนะ เช่น หากสมมุติทักษิณป่วยจริงมีหลักฐานชัดเจนว่าป่วยจริง เช่นแบบคุณสมัคร สุนทรเวช ผมก็จะไม่นำประเด็นความเจ็บป่วยของใครมาเยาะเย้ยหรอกครับ มันบาปกรรมเปล่า ๆ เพราะอนาคตเราไม่รู้หรอกว่า สักวันเราจะป่วยสาหัสแบบนั้นก็ได้เช่นกัน
"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
------------------
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิพากษ์วิจารณ์พระอาการประชวรของในหลวง
สำหรับผมนะ ผมเฉย ๆ กับพฤติกรรมของคน ๆ นี้ เพราะคน ๆ นี้ใจบาปหยาบช้าเกินเยียวยาแล้ว
หงอกเจียม เขียนวิจารณ์พระอาการประชวรของในหลวงมาตลอด หากใครไม่ใช่สาวกของหงอกเจียม อ่านดูก็รู้ว่า หงอกเจียมเขียนวิจารณ์พระอาการประชวรบนความเกลียดชัง และอคติมากมาย
โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นถึงองค์พระประมุขของชาติ ย่อมต้องยิ่งให้เกียรติและให้ความเคารพในสิทธิของผู้ป่วยยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป ต้องรู้จักมารยาทและกาลเทศะให้มาก
ใช่ครับ เราคนไทยสามารถพูดถึงพระอาการประชวรของในหลวงได้ แต่ควรพูดถึงอย่างมีมารยาท ยิ่งถ้าเขียนหรือพูดในที่สาธารณะยิ่งต้องระมัดระวังอย่างมาก หรือไม่ควรพูดเลยด้วยซ้ำ
ถ้าใครอยากจะวิจารณ์แบบชาวบ้าน ๆ ก็ไปวิจารณ์ในบ้านตัวเอง หรือในที่ ๆ ส่วนตัว ที่ไม่ใช่ที่สาธารณะ
เอาเถอะครับ สำหรับคนอย่างหงอกเจียม ก็ชั่งหัวมันไป เพราะคน ๆ นี้ ดูจากหน้าตาแล้ว นิสัยก็ยังสมกับหน้าตาอีกต่างหาก หากหงอกเจียมได้เกิดชาติหน้าอีก ก็คงมีสภาพหนักยิ่งกว่าเดิม เผลอ ๆ อาจมีหางด้วย เพราะใจสถุลเหลือเกิน
ยิ่งช่วงนี้หงอกเจียมมันยิ่งโพสในสิ่งที่มิบังควรถี่มาก ผมขอไม่นำโพสเลว ๆ ของมันนำมาลงในบทความ
แต่ผมอยากจะบอกคุณผู้อ่านว่า หงอกเจียมอาศัยความรู้และความเป็นนักวิชาการเขียนข้อเขียนมีตรรกะพอควร แต่จะแอบเนียนแฝงความคิดชั่วและมโนมั่วผสมผเส ปน ๆ ไปด้วย เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
ฉะนั้น หงอกเจียม จึงหลงตัวเองว่า คิดถูกต้อง แต่ความจริงหารู้ไม่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า
แล้วสักวันถ้าหงอกเจียมไม่รีบชิงหมาไปเกิดเร็วซะก่อน สักวันหงอกเจียมก็จะเข้าใจเองว่า บางสิ่งที่อะไรเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าที่หงอกเจียมมโนเสียอีก
ตอนนี้หงอกเจียมก็หนีไปอยู่ฝรั่งเศส จะตายวันตายพรุ่ง จะตายแบบไม่มีใครเห็นในอพาร์ทเมนท์จนเน่าอืดหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ แต่ก็ยังไม่เจียมสถุล
คลิกอ่าน การตีความกฎหมายกำหนดวันชาติไทยแบบโง่ ๆ ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559
รามเกียรติ์ คือ วรรณคดีเหยียดเชื้อชาติ ?
จริงๆ เท่าที่รู้ วรรณคดีรามายณะ หรือ รามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีที่เหยียดเชื้อชาติ โดยชนเผ่าอารยันของอินเดีย ซึ่งชนเผ่าอารยันได้อพยพมาจากทางด้านเอเซียกลางแถบเปอร์เซียและอัฟกานิสถานในยุคโบราณ เป็นชนชาติผิวค่อนข้างขาว ฉลาด รบเก่ง ได้เข้ามาเป็นชนชาติผู้ปกครองในอินเดียโบราณเมื่อกว่า 4,000 ปีก่อน ชาวอารยันจะดูถูกชาวสิงหลและชาวทมิฬซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมในอินเดีย ที่มีผิวดำ และมีความรู้น้อยกว่า
ชาวอารยัน เป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาพราหมณ์ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นศาสนาฮินดู ซึ่งชาวเผ่าอารยันก็คือพวกวรรณะกษัตริย์ และพราหมณ์ เป็นส่วนใหญ่
ชาวอารยันได้ขับไล่ชาวสิงหลและชาวทมิฬที่เป็นผู้ปกครองเดิม จนต้องอพยพหนีไปที่เกาะลังกา หรือกรุงลงกา หรือประเทศศรีลังกา ในปัจจุบัน นั่นเอง
ชาวอารยันซึ่งถือตัวว่า ฉลาดกว่า สูงส่งกว่า มีวัฒนธรรมที่สูงกว่า จึงดูถูกผู้ที่ต่ำกว่าอย่างชาวสิงหลและชาวทมิฬว่า ต่ำต้อยกว่า โง่กว่า ไร้วัฒนธรรม ป่าเถื่อนดุร้าย เฉกเช่นพวกยักษ์นั่นเอง นี่คือที่มาวรรณคดีรามเกียรติ์
การที่มีวรรณกรรมรามายณะ หรือรามเกียรติ์ ก็คือ วรรณกรรมที่ยกย่องวรรณะกษัตริย์ เป็นวรรณกรรมที่แบ่งชนชั้นวรรณะตามหลักในศาสนาพราหมณ์และฮินดู ซึ่งหมายถึง พระราม ที่ไปปราบพวกยักษ์ พวกป่าเถื่อนที่มียักษ์ทศกัณฐ์ ครองกรุงลงกา
(ทศกัณฐ์ เดิมชาติก่อนคือ 'นนทก' ยักษ์รับใช้บนสวรรค์ ที่ถูกเหล่าเทวดา นางฟ้า พรรคพวกของพระนารายณ์กลั่นแกล้ง)
หากจำกันได้ในรามเกียรติ์ ตอนกองทัพของพระรามจะยกทัพไปตีกรุงลงกา ก็จะมีการให้พวกทหารลิงช่วยกันถมทะเล เพื่อให้ทัพพระรามข้ามฝั่งไปกรุงลงกา หรือเกาะลังกา ได้นั่นเอง
ชาวพื้นเมืองของอินเดียดั้งเดิม หากไม่อพยพหนีไปเกาะลังกา ก็จะถูกพวกอารยันยกให้กลายเป็นพวกวรรณะศูทร ไป ซึ่งก็คือวรรณะที่ต่ำสุดของศาสนาฮินดู (ส่วนพวกจัณฑาลคือพวกนอกวรรณะ)
-----------------
ส่วนไทยเรารับวรรณคดีรามเกียรติ์มาเพื่อความสนุกหรรษาเพื่อความบันเทิง มาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่มารุ่งเรืองสุด ๆ ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
ส่วนชาวอารยัน ก็มีทั้งดีและไม่ดี อย่างพระพุทธเจ้าของเราก็ชนเผ่าอารยันเช่นกัน
ชาวอารยันคือที่มาของคำว่า อารยะ ที่มีความหมายว่า เจริญ
ส่วนชาวทมิฬ ก็คือที่มาของคำว่า ทมิฬ ที่มีความหมายว่า ดุร้าย โหดเหี้ยม ป่าเถื่อน
---------------
ทศกัณฐ์ แคะขนมครก คือ ผู้เจริญ มีอารยะแล้ว
ขอบคุณเจ้าของรูป (ไม่รู้ที่มา)
จากที่นักวิชาการสายอนุรักษ์สุดโต่ง บอกว่า MV เที่ยวไทยมีเฮ เป็นการทำให้ทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นราชาแห่งยักษ์ถูกดูถูก ถูกหมิ่นเกียรติ ที่ให้ทศกัณฐ์มาแคะขนมครก
ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ขัดต่อหลักพุทธศาสนาอย่างมาก เพราะความจริงทศกัณฐ์นั้น กระทำผิดศีลธรรมมากมาย เช่น ลักพาเมียชาวบ้าน เป็นต้น (จริง ๆ ยังมีอีกเยอะ)
ในหลักศาสนาพุทธของเรา เราจะยกย่องผู้มีศีลธรรมว่าเป็นผู้เจริญ ผู้มีอารยะ อย่างภิกษุผู้มีศีลถึง 227 ข้อนั้น แม้แต่ในหลวงก็ทรงกราบไหว้ภิกษุที่มาจากลูกชาวบ้าน
ส่วนการแคะขนมครก ถือเป็นอาชีพสุจริตไม่ผิดศีลธรรม เป็นการทำขนมไทยที่น่าดู น่าอนุรักษ์สืบไว้
ดังนั้นการที่ทศกัณฐ์มาแคะขนมครก จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ายกย่อง ย่อมดีกว่าทศกัณฐ์ไปเที่ยวลักขโมยเมียชาวบ้านจริงไหม
นักวิชาการอนุรักษ์สุดโต่งลองนำไปคิดดูนะครับ
----------
โขนไทย ชอบให้ผู้หญิงเล่นเป็นพระราม
คนที่หุ่นดี กำยำ สูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ดูเท่ที่สุด จะได้รับเลือกให้เล่นโขนบททศกัณฐ์
ส่วนคนที่หน้าตาหล่อดูอรชรก็จะถูกเลือกให้เล่นบทพระราม แต่ถ้ายุคใดหาหน้าตาหล่อไม่ได้ ก็จะให้ผู้หญิงมาแสดงเป็นพระรามแทน นี่คือโขนไทย
คนที่หุ่นดี กำยำ สูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง ดูเท่ที่สุด จะได้รับเลือกให้เล่นโขนบททศกัณฐ์
.
ส่วนคนที่หน้าตาหล่อดูอรชรก็จะถูกเลือกให้เล่นบทพระราม แต่ถ้ายุคใดหาหน้าตาหล่อไม่ได้ ก็จะให้ผู้หญิงมาแสดงเป็นพระรามแทน นี่คือโขนไทย
.
ถามว่า นำผู้หญิงมาแสดงเป็นองค์อวตารพระนารายณ์ ไม่ถือเป็นการลบหลู่พระรามเหรอ?
.
คำตอบคือ ไม่ลบหลู่หรอก ถ้ากูไดโนเสาร์พอใจซะอย่าง ก็จะหาเหตุผลมารองรับได้เสมอนั่นแหละ ก๊ากกๆๆ :v
คลิกอ่าน ถอดหัวโขนลงเถอะ กรณีดราม่าเที่ยวไทยมีเฮ
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559
สื่อไทยส่วนใหญ่ เป็นขี้ข้าเมียนมาร์
ผมเคยเขียนบทความเรื่อง เพราะสื่อไทยมันโง่ ที่เรียกพม่าว่า เมียนมาร์
ผมคงไม่ลงรายละเอียดเนื้อหาเรื่องเดิมอีกว่า ทำไมเราคนไทยควรเรียกพม่าว่า พม่า เหมือนเดิม ไม่ควรไปเรียกพม่าว่า เมียนมาร์
เพราะทุกวันนี้ สื่อแทบทุกช่อง ทุกสื่อ เลิกใช้คำว่า พม่า แต่หันไปใช้คำว่า เมียนมาร์ แทนกันเกือบหมด ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้แสดงถึงความโง่ของสื่อไทยชัดเจน ตามรายละเอียดที่ผมเคยอธิบายในบทความเก่าไปแล้ว
เข่นมีนักวิชาการบางคนอย่าง ดร.เกษมสันต์ วีระกุล ทีมผู้ประกาศข่าวช่อง 3 คนนึง ที่พยายามจะสอนให้คนไทยเรียก พม่า ว่า เมียนมาร์ โดยอ้างเหตุผลว่า ชื่อ เมียนมาร์ แสดงถึงทุกเผ่าพันธุ์ของประเทศเมียนมาร์ ไม่ใช่ยกเฉพาะชาวพม่า เป็นใหญ่อยู่ชนชาติเดียว
ผมเกือบจะเชื่อเหตุผลที่ ดร.เกษมสันต์ เคยอ้างแล้วนะ
แต่เผอิญประเทศพม่าเพิ่งจัดประชุมสันติภาพปางหลวงแห่งศตวรรษที่ 21 เมื่อต้นเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา
โดยทางการพม่าได้เชิญชนกลุ่มน้อยที่ยังมีปัญหาขัดแย้งกับชนชาติพม่า 17 ชนเผ่าจากทั้งหมด 20 ชนเผ่า มาร่วมประชุมสันติภาพเพื่อยุติสงครามและการต่อสู้ระหว่างชนชาติในพม่า
แล้วมีประเด็นที่เป็นข้อเรียกร้องในการประชุมปางหลวงแห่งศตรวรรษที่ 21 ที่มีนางอองซานซูจี เป็นประธานการประชุมนั้น ชนกลุ่มน้อยทั้ง 17 กลุ่มได้มีข้อเรียกร้องเรื่องนึงที่ได้เสนอขึ้นมา นั่นก็คือ
ชนกลุ่มน้อย 17 เผ่าพันธุ์ชนชาติ เสนอให้เปลี่ยนชื่อประเทศพม่า ในภาษาสากลใหม่ จากเมียนมาร์ ให้เปลี่ยนเป็นชื่ออื่น เพื่อแสดงถึงความสามัคคีของทุกชนเผ่า ที่ไม่ได้ยกให้ชนชาติพม่า(หรือเมียนมาร์) ให้เป็นใหญ่เพียงชนชาติเดียวในประเทศ
จากเนื้อหาข่าว ข้อเรียกร้องมีตามนี้
"หนึ่งในข้อเรียกร้องที่น่าสนใจที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในวันนี้ก็คือสภาสหพันธ์กลุ่มชาติพันธุ์ หรือ กลุ่ม UNFC ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ 17 กลุ่ม ที่ยังไม่เซ็นสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลเมียนมา นำเสนอให้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศเมียนมาให้เป็นชื่ออื่น ที่ไม่ใช่ทั้งเมียนมาหรือพม่าตามเดิม โดยตัวแทนของกลุ่ม UNFC ให้เหตุผลว่าชื่อเมียนมาเป็นชื่อประเทศที่ตั้งขึ้นใหม่โดยรัฐบาลทหารซึ่งไม่มีความชอบธรรม และไม่สื่อความหมายของความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของเมียนมา จึงควรเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ที่ครอบคลุมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในเมียนมา แต่ตัวแทนของกลุ่ม UNFC ก็ไม่ได้ระบุหรือเสนอแนะชื่อใหม่ที่ต้องการให้เปลี่ยน"
ที่มาข่าว http://www.winnews.tv/news/7295
จากข้อเสนอเรื่องเปลี่ยนชื่อประเทศพม่า ในภาษาสากลคือ เมียนมาร์ ใหม่นั้น ก็แสดงว่า คำว่า เมียนมาร์ ก็หมายถึงชนชาติพม่าชาติเดียวนั่นแหละ
หาใช่เหตุผลที่ ดร.เกษมสันต์ วีระกุล เคยกล่าวอ้างแต่อย่างใด
เพราะเหตุผลที่ดร.เกษมสันต์เคยอ้างไว้คือ คำว่า เมียนมาร์ แสดงถึงชนชาติทุกชนชาติในพม่า ไม่ได้หมายถึงชนชาติพม่าเพียงชนชาติเดียว ดังนั้นคำว่า เมียนมาร์ จึงเป็นชื่อประเทศที่ทำให้ทุกชนเผ่ายอมรับ (ถุย!!)
เหอะ ๆ เหตุผลมั่วชัด ๆ
------------
เพราะเหตุผลที่ผมทราบจริงๆ ที่พม่าเปลี่ยนชื่อสากลของประเทศจากเดิมคือ Burma เป็น Myanmar ก็เพราะชื่อ Burma คือชื่อที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษได้ตั้งไว้ตามการออกเสียงของพวกฝรั่งเอง
ซึ่งชาวพม่าชาตินิยมก็ไม่ค่อยยอมรับชื่อสากลที่อดีตชาติเจ้าอาณานิคมตั้งไว้
รัฐบาลทหารพม่าจึงคิดว่า หากยังใช้ขื่อ Burma ต่อไปก็เท่ากับพม่ายังไม่หลุดพ้นการเคยเป็นชาติผู้พ่ายแพ้ชาติตะวันตกเสียที
-----------------
สรุปนะครับ คนไทยเราอย่าไปโง่เรียกชื่อประเทศพม่าว่า เมียนมาร์ ตามที่สื่อและนักวิชาการบางคนพยายามสอนเลยครับ
เพราะนั่นเท่ากับคนไทยยอมเป็นขี้ข้าเมียนมาร์ ไปแล้ว
เพราะคำว่า พม่า คือ ภาษาไทย ที่เราคนไทยควรอนุรักษ์ไว้
ถ้าใครยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ แนะนำกลับไปอ่านบทความเก่าเรื่อง เพราะสื่อไทยมันโง่ที่เรียกพม่าว่า เมียนมาร์
คลิกอ่าน เพราะสื่อไทยมันโง่ที่เรียกพม่าว่า เมียนมาร์
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้นเมื่อเรื่องเล่าเช้านี้ไม่มีสรยุทธ
คงไม่ต้องเท้าความให้มากว่า สรยุทธ สุทัศนะจินดา คือใคร แล้วตอนนี้ทำไมหายไปจากหน้าจอรายการเรื่องเล่าเช้านี้ทุกเช้าของทุกวัน
แน่นอน แฟน ๆ สรยุทธส่วนใหญ่คงไม่เห็นด้วยกับการที่สรยุทธต้องอำลาหน้าจอไป ซึ่งอาจแค่ชั่วคราวหรืออาจชั่วชีวิต
ในฐานะที่ผมก็เป็นแฟนรายการเรื่องเล่าเช้านี้พอประมาณ แต่ผมกลับไม่เสียดายเลยที่ไร้เงาสรยุทธหน้าจอทีวี
เพราะอะไร ?
ก็เพราะตั้งแต่สรยุทธหยุดจัดรายการของเขาเองไป ก็ได้มอบบทบาทเต็มตัวในการดำเนินรายการและนำพาทิศทางข่าวของรายการในแต่ละวันไปให้น้องไบร์ท พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ทำอย่างเต็มที่
แม้อาจจะมีผู้มาร่วมเล่าข่าวกับน้องไบร์ท คือทั้งคุณปิยณี เทียมอัมพร และคุณพิภู พุ่มแก้ว ที่ย้ายมาจากช่อง 9 เพื่อมาจัดเรื่องเล่าเช้านี้
แต่ผมว่า การดำเนินรายการของน้องไบร์ทตลอด 3 ชม.กว่า ๆ ก็จัดว่า น้องไบร์ทดำเนินรายการได้ดีทีเดียว
ผมขอสรุปการดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของน้องไบร์ท พอสังเขปว่า
สำหรับความเห็นผม ผมว่า น้องไบร์ทดำเนินรายการได้ดีกว่าสรยุทธเสียอีก เพราะทำให้บรรยากาศข่าวดูสบายตาสบายใจขึ้น ^_^
แม้ข่าวเครียด ๆ หรือข่าวหนัก ๆ ซึ่งถ้าเป็นสรยุทธดำเนินรายการเอง ก็จะกลายเป็นประเด็นให้คนดูเกิดอาการดราม่าและเครียดขึ้นกว่าเดิมได้ง่าย
แต่พอเป็นน้องไบร์ทรับบทบาทจัดรายการแทนสรยุทธ รายการข่าวตอนเช้าของประเทศไทยก็เริ่มเครียดน้อยลง เพราะน้องไบร์ทไม่มีน้ำเสียงที่จะไปช่วยบิวท์อารมณ์ให้คนดูเครียดยิ่งขึ้น
แต่น้ำเสียงของน้องไบร์ทและวิธีการนำเสนอข่าวของน้องไบร์ท กลับช่วยทำให้คนดูทางบ้านเครียดน้อยลง (รวมถึงการจัดรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ โดยคุณกุ๊ก กฤติกา ด้วย ที่ดูนุ่มนวลเหมือนน้องไบร์ท)
แต่หากเป็นสรยุทธจัด แน่นอนข่าวอาจดังขึ้น แรงขึ้น แต่คนดูและคนไทยก็พลอยเครียดมากขึ้นตามไปด้วย
แล้วถ้าคนดูเครียดจากข่าว มันก็ไม่เป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาโดยรวม โดยไม่รู้ตัว
-----------------------
ผมขอสรุปอีกครั้งเลยนะ ใครจะว่าไงไม่รู้ แต่ผมชอบให้น้องไบร์ททำหน้าที่แทนสรยุทธไปตลอดกาลเลย
เพราะสรยุทธ เขาเป็นพิธีกรใหญ่คับฟ้าไปแล้ว พอใหญ่และดังมากเกินไป ผมว่า เขามีส่วนทำให้ข่าวบางข่าวได้รับความสนใจมากขึ้นก็จริง ช่วยให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนใจลงมาแก้ปัญหาได้มากขึ้นก็จริง
แต่ทั้งหมดทั้งมวล สรยุทธ ก็คือ ตัวคะตะไลส์ที่ทำให้สังคมไทยพลอยดราม่ามันไปซะแทบจะทุกเรื่อง
ผมว่า สังคมไทยถ้าลดอาการดราม่าลงได้บ้าง หรือถ้าจะดราม่าก็ดราม่าด้วยอารมณ์ที่นุ่มนวลขึ้นเหมือนการดำเนินรายการของน้องไบร์ท ก็จะทำให้ความรุนแรงในสังคม การทะเลาะถกเถียงในสังคมด้วยอารมณ์ที่เบาลง
เมื่ออารมณ์เบาลง เหตุผลก็จะมีมากขึ้นตามมา
ผมว่า เมืองไทยเรา แม้จะมีปัญหาหรือมีข่าวแรง ๆ ไม่ลดลงก็ตาม แต่โดยรวมสังคมไทยก็ดูน่าอยู่ขึ้นเมื่อไม่มีสรยุทธดำเนินรายการหน้าจอทีวี 555
"ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น ตั้งแต่ไม่มีสรยุทธมาบิวต์อารมณ์เครียดให้คนดูทุกเช้า"
แต่ที่ยังห่วยเหมือนเดิมก็คือ การคัดข่าวนำข่าวมาเสนอในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งน่าจะเป็นสรยุทธอยู่เบื้องหลังการคัดข่าว
ผมก็ยังสังเกตว่า เรื่องเล่าเช้านี้ รวมถึงเพจเรื่องเล่าเช้านี้ มักชงข่าว เขียนพาดหัวข่าวชวนให้คนด่ารัฐบาล คสช. อยู่เสมอ ๆ
แถมยังชอบนำเสนอข่าวไอ้พวกกลุ่มต่อต้าน คสช. สม่ำเสมอเช่นเดิม
ถ้าแบบนี้บอกได้เลยว่า สรยุทธเจ้าของรายการคงชอบใส่เสื้อแดงแหง ๆ
แบบนี้ต่อไปน่าจะเปลี่ยนให้สรยุทธไปใส่เสื้อสีกากี กางเกงขาสั้น แถมกินข้าวแดง บ้างก็คงดี เปลี่ยนบรรยากาศซะบ้าง เผื่อกินอาหารแพง ๆ ทุกวันสรยุทธอาจเบื่อแล้ว 555
คลิกอ่าน ตรรกะวิบัติทีมสรยุทธ กับปัญหาคำพิพากษาศาลชั้นต้น
-->
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ธรรมะ "จงพอใจในสิ่งที่ตนไม่มี"
"จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มี เหนือกว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี"
งง ไหมครับกับคำกล่าวนี้
เพราะเรามักได้ยินคำสอนที่ว่า "จงพอใจในสิ่งตนเองมีอยู่" ซึ่งเป็นคำสอนที่ดีมาก
แต่ผมกลับคิดในอีกมุมว่า ถ้าเราพอใจในสิ่งที่ตนไม่มีอยู่ล่ะ จะแตกต่างกันไหม
เช่น ถ้าเรามีมอเตอร์ไซค์อยู่ แต่เราอยากมีรถเก๋ง หรืออยากมีรถกระบะขับมากกว่า เราก็อาจเป็นทุกข์ได้ เพราะความอยากมีรถเก๋ง
ความอยากนั้น ยิ่งอยากมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น และอาจนึกไม่พอใจที่ตัวเองต้องขี่แค่มอเตอร์ไซค์
จึงมีคำสอนที่ว่า "จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่" ก็คือ สอนให้เราพอใจที่เรามีแค่รถมอเตอร์ไซค์ไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ทุกข์จากความอยากมีอยากได้รถเก๋ง เป็นต้น
แต่ถ้าเป็น "จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มีอยู่" จะหมายถึง รู้สึกดีแล้วที่ยังไม่มีรถเก๋ง แล้วลองคิดถึงเหตุผลว่า ถ้าเรามีรถเก๋งน้้นจริง ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป หรือทุกข์น้อยลงเสมอไป หากเรายังไม่พร้อมที่จะมีจริง ๆ
เพราะการจะมีรถเก๋งนั้น ต้องมีภาระตามมามากมาย
ไหนจะต้องหาเงินมาดาวน์ในราคาสูงกว่าออกรถมอเตอร์ไซค์ ไหนจะต้องผ่อนรายเดือนหลักหมื่นจนหลายหมื่นต่อเดือน ไหนจะค่าน้ำมัน แถมเวลารถติดก็สิ้นเปลืองกว่าขี่มอเตอร์ไซค์ ทั้งค่าสึกหรอ ค่าอะไหล่ก็สิ้นเปลืองกว่ารถมอเตอร์ไซค๋ทั้งสิ้น
แน่นอนการขี่มอเตอร์ไซค์ปลอดภัยน้อยกว่าการขับรถ แต่ใช่ว่าการขับรถจะปลอดภัยมากกว่าเท่าไหร่นัก แถมต้องจ่ายค่าประกันภัยที่แพงกว่าตั้งเยอะ
ดังนั้น หากเรามาคิดในหลักที่ว่า จงพอใจที่เรายังไม่มีรถเก๋ง เพราะการมีรถเก๋งนั้นต้องมีปัญหาตามมาอีกมากมายร้อยแปด
เราก็จะสบายใจขึ้นกว่าแค่เราต้องพยายามพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ นั่นคือ มีแค่มอเตอร์ไซค์
ซึ่งหลักธรรมะทั้งสองหลักการนี้ ไม่ใช่สอนให้เราไม่พยายามมุมานะหาเงิน เพื่อหาสิ่งที่ดีกว่าเพื่อตนเองนะครับ อย่าไปตีความผิด ๆ แบบนั้น
ดังนั้น ผมจึงอยากจะแนะนำคุณผู้อ่าน ลองคิดในอีกมุมว่า
"จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มีอยู่" น่าจะเป็นหลักการที่สอนให้เราลองคิดหาเหตุผลมากขึ้นว่า ถ้าเรายังไม่มีสิ่งที่ต้องการนั้น ๆ เราก็สบายดีอยู่เหมือนกัน
จะลองยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านลองพิจารณาอีกสักตัวอย่าง
เช่น ถ้าคุณอยากมีภรรยา (หรืออยากมีสามี) อยากมีครอบครัว แต่คุณยังไม่มี
คุณก็ลองคิดหาเหตุผลดูซิว่า การที่คุณยังไม่มีครอบครัวนั้นมีข้อดีอย่างไร ?
เมื่อหาเหตุผลได้ คุณจะเข้าใจหลัก จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ได้ดียิ่งขึ้น
---------------
ข้อดีของความจน
ในดีมีเสีย ในเสียมีดี จงมองหาให้เจอ เช่น
คนรวย เขาอยากกินอะไร เขาก็มีเงินไปหาซื้อกินสนองความอยากของเขาโดยง่าย
คนรวย เขาอยากไปเที่ยวไหน เขาก็มีเงินนำพาเขาไปเที่ยวตามใจอยากเขาได้เสมอ
คนรวย อยากได้ของอะไร ก็มีเงินซื้อของต่าง ๆ ได้สบาย ๆ
ดังนั้นการเป็นคนรวยเลยมักได้ทำตามใจอยากได้เสมอ หากมองในทางโลก เขาโชคดี
หากมองในแง่ธรรมะ ก็บอกว่า การตอบสนองตามความอยากได้ #ง่าย ย่อมเป็นเหตุให้ละความอยากได้ #ยาก
การฝึกใจคือการไม่ทำตามใจกิเลสที่ทะยานอยาก
----------------
หลักเต๋าและหลักเซน ยกย่อง ความไม่มี ยิ่งใหญ่กว่า ความมี
หลักเต๋าและหลักเซน จะยกย่องเรื่อง ความว่าง ซึ่งความว่างก็คือพื้นฐานจากความไม่มี
เฉกเช่น แก้วน้ำใช้ประโยชน์จากความว่าง หรือความไม่มี
เพราะแก้วน้ำมีความว่าง ไม่มีสิ่งใดอยู่ในแก้ว เราจึงจะสามารถเติมน้ำลงไปในแก้วได้ จนเกิดความมี(น้ำ) ขึ้น
ดังนั้น เพราะความไม่มีจึงก่อกำเนิดความมีได้
เฉกเช่น จักรวาล เพราะมีความว่างจึงก่อให้เกิดดวงดาว ได้
แต่หากเราศึกษาหลักเต๋าและหลักเซนให้ถ่องแท้มากขึ้น เราก็จะเข้าใจขึ้นไปอีกระดับหนึ่งที่ว่า
แท้จริงแล้ว ความมี กับ ความไม่มี ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน เฉกเช่น ความสุข กับความทุกข์ แท้จริงก็คือ สิ่งเดียวกัน นั่นเอง
เพียงแต่ในสิ่งเดียวกันนั้น กลับแสดงผลไม่เหมือนกัน จึงทำให้เรามองว่า มันแตกต่างกัน เป็นคนละสิ่งกัน
ความไม่มี - เบากว่า
ความมี - หนักกว่า
คลิกอ่าน ธรรมะหลวงพ่อชา สุข ทุกข์ คือสิ่งเดียวกัน
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สิ่งที่ง่ายที่สุด ยากที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในทัศนะใหม่เมืองเอก
พอดีได้รับการแชร์ไลน์รูปภาพเกี่ยวกับสิ่งใดง่ายที่สุด สิ่งใดยากที่สุด และสิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด ในทัศนะของนักปราชญ์นามว่า รพินทรนาถ ฐากุร ซึ่งเป็นปราชญ์ชาวอินเดีย ในศาสนาฮินดู ผู้ซึ่งเป็นทั้งจิตรกร เป็นทั้งกวี และเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลด้านวรรณกรรมใน ค.ศ.1913 ซึ่งถือเป็นชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขานี้
สิ่งที่ท่านคุรุรพินทรนาถ ฐากุร ว่ามานั้นไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะเรื่องของทัศนะความเห็นเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับความรู้สึกของคนเรานั้นไม่มีถูก ไม่มีผิด
คุณผู้อ่านเองก็มีความเห็นของตัวเองว่า สิ่งใดง่ายที่สุด สิ่งใดยากที่สุด สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด ได้เช่นกัน
แต่สำหรับผม ใหม่เมืองเอก ก็มีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ตามกำลังความรู้ที่ผมพอมี และเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น แต่ก็อยากแชร์ให้คุณผู้อ่านได้อ่าน หวังว่าคุณอาจได้ข้อคิดดี ๆ เช่นกัน ตามนี้ครับ
ถาม สิ่งใดง่ายที่สุด ?
ขอตอบว่า เห็นแก่ตัวง่ายที่สุด เพราะปุถุชนทั่วไปย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นสันดานอยู่แล้ว แต่จะมีมากหรือมีน้อย จะเป็นโทษหรือเป็นคุณแก่ตัวเองและผู้อื่นอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่คน ๆ ไป
จะมีเพียงพระอรหันต์เท่านั้นที่หมดสิ้นความเห็นแก่ตัวแล้ว
ถาม สิ่งใดยากที่สุด ?
ขอตอบว่า การปล่อยวางยากที่สุด เพราะ การปล่อยวาง เป็นสิ่งที่ปุถุชนทั่วไปควรหัดปล่อยวางให้เป็นบ้าง เพื่อลดทุกข์ จะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจิตใจของแต่ละคน
แต่จะมีเพียงพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่ต้องปล่อยวางแล้ว เพราะพระอรหันต์หมดจากกิเลสและทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วนั่นเอง
ถาม สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สด ?
ขอตอบว่า การให้อภัยยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะการให้อภัยนั้นเป็นหลักธรรมยิ่งใหญ่ที่สุด คือหลักธรรมพื้นฐานของผู้ที่ปรารถนาจะตัดภพตัดชาติ
หากผู้ใดไม่รู้จักการให้อภัยเป็นพื้นฐานหลักธรรมในใจ (อโหสิกรรม) ผู้นั้นย่อมไม่มีวันพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เลย
-----------------
แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าสิ่งใดง่ายที่สุด สิ่งใดยากที่สุด และสิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุดในทัศนะของคุณผู้อ่านเอง ??
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ที่กรุงเทพฯ น้ำท่วมหนัก ก็เพราะกรมอุตุนิยมห่วย ?
เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559 ผมได้ดูข่าวภาคเช้าทางทีวี ก็มีรายงานสภาพอากาศว่า กทม. จะมีฝนตกน้อยลง เหลือประมาณ 20 % ของพื้นที่
พอผมได้ฟังแบบนี้ ก็ตีความว่า กรุงเทพฯ แทบไม่มีฝนตกเลย หรือถ้ามีก็คงตกน้อยมาก ๆ เรียกว่า สบายใจได้เลย
แต่ที่ไหนได้ พอตกเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ของวันที่ 20 มิถุนายน 2559 ก็มีฝนตกหนักในกรุงเทพฯ ซะแล้ว เริ่มมีน้ำรอการระบายในหลายพื้นที่
เห็นผู้ว่าฯ กทม. พูดว่า ตอนกลางวัน ฝนก็ตกไปประมาณ 80 มม./ชม. แล้ว ซึ่งถือว่าตกหนัก ทำให้น้ำในคลองต่าง ๆ เริ่มเต็ม
แล้วพอตกค่ำคืนของวันจันทร์ที 20 มิ.ย. ก็มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ อีกรอบ โดยเฉพาะย่านเขตลาดพร้าว เขตจตุจักร เขตห้วยขวาง เขตสุทธิสาร ตกเกือบทั้งคืน จนหยุดตกไปประมาณตี 4 ครึ่งของเช้าวันอังคารที่ 21 มิถุนายน
หมู่บ้านของผมน้ำท่วมแบบไม่รู้ตัวเลย เพราะผมมัวแต่ดูฟุตบอลยูโร กว่าจะจบตอนตี 4 พอออกมาดูหน้าบ้าน อ้าวเฮ้ย !! น้ำท่วมสูงเลย
แล้วพอเช็คข่าว จส.100 สรุปว่า น้ำท่วมหนักเกือบทั่วกรุงเทพฯ มีบางเขตเท่านั้นที่ฝนตกเล็กน้อยเท่านั้น
เช้าวันที่ 21 น้ำท่วมทำเอาคนกรุงเทพฯ หลายเขตสาหัสสากรรจ์กันไปเลย
ส่วนผมน่ะเหรอ แทนที่จะออกจากบ้านตอน 06.30 น. ตามปกติ ก็เลยออกไม่ได้ เพราะน้ำท่วมในหมู่บ้านยังสูง รถเล็กยังวิ่งไม่ได้
ผมต้องรอน้ำลดไปถึง 09.30 น. นั่นแหละ ถึงพอจะขับรถลุยน้ำออกไปได้ แล้วรถก็ติดสาหัสตั้งแต่ในซอยยันถนนใหญ่
เห็นผู้ว่า ฯ กทม. บอกว่า ฝนที่ตกตอนกลางคืนอีก 100 กว่า มม./ชม. ถ้ารวมฝนที่ตกตอนกลางที่ผ่านมาอีก 80 มม./ชม. ก็เท่ากับว่า ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชม. มีฝนตกมากร่วม ๆ รวมแล้ว 200 มม./ชม. โดยประมาณ
ถ้าฝนตกมากขนาดนี้ในวันเดียว ที่ไหน ๆ ในโลกก็ท่วมครับ
-------------------
ความห่วยของกรมอุตุนิยมวิทยาไทย
คือ ที่จริงผมรู้ว่า การทำนายสภาพอากาศของกรมอุตุฯ ไทยน่ะห่วยมานานแล้ว เพราะผมเจอเข้ากับตัวเองประจำ โดยเฉพาะเรื่องการทำนายฝนตกแบบผิด ๆ น่ะ
แต่ยังไม่เคยเก็บหลักฐานไว้
แต่เหตุการณ์น้ำท่วมหนักกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมาเนี่ย ผมต้องโทษกรมอุตุฯ เต็ม ๆ เลยว่า ทำนายผิดอย่างมาก ตามรูปนี้ครับ
เห็นไหมครับ กรมอุตุนิยม ทำนายว่า วันที่ 20 มิถุนายน 2559 ตั้งแต่เวลา 06.00 วันนนี้ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ กรุงเทพฯ จะมีฝนแค่ 20 % ของพื้นที่เท่านั้น ซึ่งการทำนายแบบนี้โดยทั่วไปก็คือ แทบไม่มีฝนตกเลย
ถ้ากรมอุตุฯ ทำนายฝนมาแบบนี้ วันนั้นทางกรุงเทพมหานครเขาก็จะไม่พร่องน้ำในคลองลงเท่าไหร่ หรือแทบไม่พร่องน้ำในคลองเลย ก็ฝนตกน้อยนี่นา
แต่ที่ไหนได้ ฝนตกหนักตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 20 แถมตกค่ำก็ตกหนักอีกจนถึงตี 4 ของเช้าวันที่ 21 จนน้ำท่วมหนัก รถติดวินาศสันตะโร
เผอิญมีคนเข้าไปด่ากรมอุตุ ฯ ที่ทำนายสภาพอากาศผิดพลาดที่เฟสบุ๊คของกรมอุตุฯ เหมือนกัน ตามนี้
สรุปคือ ถ้ากรมอุตุนิยมวิทยาทำนายสภาพฝนได้ถูกต้องแม่นยำ ทางกรุงเทพมหานครและสำนักการระบายน้ำก็จะได้เตรียมการรับมือน้ำท่วมได้ถูกต้องมากขึ้น จะได้เตรียมพร่องน้ำในคลองต่าง ๆ รอไว้
ปัญหาน้ำท่วม กทม. ก็อาจไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่นัก แบบผ่อนหนักเป็นเบา
ผมว่า ถึงคราวต้องปฏิรูปกรมอุตุนิยมวิทยาไทยใหม่ได้แล้วมั้ง หรือไง ?
----------------
ขำ ๆ ท้ายบทความ
ชื่อเรียกใหม่ของ "อาบอบนวด"
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ขึ้นภาษีเครื่องดื่มมีน้ำตาล คือการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
เมื่อสักช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข่าวว่า คณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้ขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลให้สูงขึ้น เพื่อหวังจะให้คนไทยลดการกินหวานลง (เห็นว่าเจตนารมณ์ของแนวคิดนี้เขาอ้างแบบนี้)
ผมขอบอกเลยว่า พวกที่คิดแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษีเพื่อหวังให้ประชาชนลดบริโภคสิ่งที่พวกผู้มีอำนาจไม่อยากให้ประชาชนบริโภคนั้น ถือเป็นความคิดแก้ปัญหาแบบมักง่ายที่สุด (ถ้าคิดได้แค่นี้ ไม่ต้องเรียนจบสูงหรอกครับ)
เพราะที่ผ่านมาเช่น การขึ้นภาษีบุหรี่ ภาษีเหล้า สุดท้ายก็ทำให้คนไทยลดการบริโภคสิ่งเสพติดเหล่านี้ไม่ได้เลย
แต่การขึ้นภาษีสินค้า กลับทำให้ผู้ผลิตสินค้าได้กำไรมากขึ้นต่างหาก เพราะการเพิ่มภาษีสินค้าของรัฐบาล ผู้ผลิตก็จะผลักภาระภาษีไปที่ผู้บริโภคอยู่ดี แล้วเปอร์เซนต์กำไรของผู้ผลิตก็จะเพิ่มตามไปด้วย (ผู้ที่เข้าใจระบบคำนวณต้นทุนสินค้าจะรู้ดี)
แต่กรณีขึ้นภาษีสิ่งเสพติดนั้น โอเค ผมไม่ได้สนใจมากนัก เพราะมันคือสิ่งเสพติด
แต่ในกรณีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ดันมีคนในคณะกรรมการปฏิรูปโง่ ๆ บางคนเสนอแนวคิดขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล โดยอ้างแบบโง่ ๆ อีกเช่นเคยว่า หวังให้คนไทยบริโภคหวานน้อยลง
---------------
ถ้าขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล คิดว่าจะกระทบต่อการผลิตน้ำตาลในประเทศหรือไม่ จะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยหรือไม่
แล้วมันยุติธรรมหรือไม่ ถ้าขึ้นภาษีเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
ต่อมาเลยมีคนเสนอว่า ถ้ามีเจตนาอยากให้คนไทยลดการบริโภคหวานจริง ๆ ทำไมไม่ขึ้นภาษีวัตถุดิบที่ต้นทางของการผลิต นั่นคือ ขึ้นภาษีน้ำตาลไปเลยล่ะ
แต่น้ำตาลไม่ใช่สารเสพติด ไม่ใช่สิ่งเสพติด และน้ำตาลมีประโยชน์มาก ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารตั้งแต่ในครัวเรือนไปจนอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมทางการแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นถ้ามีการขึ้นภาษีน้ำตาลจริง ๆ ขึ้นมา ก็จะกระทบอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ของประเทศไทยในวงกว้าง รวมถึงกระทบไปถึงทุกครัวเรือน แล้วจะมีผลทำให้ราคาสินค้าอีกมากมายขึ้นราคาตามไปอีกเป็นลูกโซ่ ทั้งยา ทั้งอาหารต่าง ๆ
ถามว่า สุดท้ายใครกันแน่ที่เดือดร้อน ?
ก็ประชาชนนั่นแหละครับที่เดิอดร้อน แต่ผู้ผลิตสินค้าเขาไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่หรอก
--------------------
ผมว่า แนวคิดการขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลนั้น คงเริ่มมาจากการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเพื่อหวังชิงโชคอย่างบ้าระห่ำของคนไทย(บางส่วน)มากกว่า
คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่า คนไทยบ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเพื่อหวังรวยจากรหัสใต้ฝานั้นมียี่ห้ออะไรบ้าง
เพราะตอนนี้มีกลยุทธ์หวยใต้ฝาแทบทุกยี่ห้อไปแล้ว
ถ้าอยากจะให้คนไทย(บางส่วน)เลิกบ้าหวยใต้ฝาจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ๆ จำนวนมาก ๆ เพื่อหวังเล่นหวยอย่างบ้าระห่ำนั้น
ก็ง่ายนิดเดียว รัฐบาลออกกฎหมายห้ามเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด ออกกลยุทธ์หวยรหัสใต้ฝา และกลยุทธ์การส่งชิงโชคทุกรูปแบบซะก็สิ้นเรื่อง
ทำไมพวกมีอำนาจในคณะกรรมการปฏิรูปดันไม่คิดวะ ???
เพราะการขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน่ะ ไม่ทำให้คนไทย(บางส่วน)บริโภคหวานน้อยลงหรอก ตราบใดที่ยังมีหวยใต้ฝาให้ลุ้นโชคอยู่
เพราะคนไทย(บางส่วน)น่ะบ้าการพนันแฝงแบบนี้เข้าเส้นไปแล้ว ติดยิ่งกว่าสิ่งเสพติดเสียอีก ขอบอก คุณผู้อ่านว่าจริงไหม
แล้วคนไทยที่เขาดี ๆ ทานน้ำตาลแต่พอเหมาะ ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลบ้างในบางครั้งเพื่อความสดชื่น เขาจะต้องมาซวยเพราะการขึ้นภาษีของรัฐไปด้วย มันสมควรแล้วหรือ
-----------------
ความเหมือนที่แตกต่าง
หลายวันก่อนผมฟังข่าววิทยุ เขารายงานข่าวว่า ทางการมาเลเซียกำลังจะลดภาษีให้เครื่องดื่มที่ลดปริมาณน้ำตาลลง เพื่อให้ราคาเครื่องดื่มที่หวานน้อยราคาถูกลง เพื่อจูงใจให้คนมาเลย์หันมาดื่มน้ำหวานลดลง
เห็นไหมครับ ทางการมาเลเซียเขาคิดลดภาษีเพื่อให้สินค้าราคาถูกลงเพื่อจูงใจประชาชน
แต่คณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติของไทย ดันคิดแต่จะเพิ่มภาษี เพื่อให้คนไทยซื้อของแพงขึ้น ห่วยจริง !!
วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559
เหตุผลที่ห้ามมอเตอร์ไซค์ใช้สะพานข้ามแยกและอุโมงค์
คือ ตอนนี้มีกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ออกมาเรียกร้องขอให้ยกเลิกการห้ามมอเตอร์ไซค์ขึ้นสะพานข้ามแยก หรือ อุโมงค์ลอดทางแยก โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา
ก่อนอื่นผมขอเท้าความสักนิดว่า ประเทศไทยมีอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุก็คือ อุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์
แต่ไทยเราเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ และเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีมอเตอร์ไซค์น้อยกว่าเวียดนามหลายเท่า
มีคำพูดนึงที่ผมชอบ ก็คือ เกิดเป็นคนอย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
-------------------------
ทำไมเขาถึงห้ามรถมอเตอร์ไซค์ข้ามทางแยก
ผมขออธิบายตามความคิดของผม โดยไม่ไปอิงหลักกฎหมายอะไรนะ เพื่อจะได้ไม่วิชาการจนมึน
ปกติในทางราบเรียบปกติ มอเตอร์ไซค์ในไทยก็เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว ถามว่า เพราะอะไร ?
ตรงนี้คนขี่มอเตอร์ไซค์ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ทำไมเป็นเช่นนั้น ??
แล้วบนสะพานข้ามทางแยกน่ะ ส่วนใหญ่จะมีความสูงชันมากกว่าสะพานข้ามแม่น้ำหรือข้ามคลองตามปกติ และจะมีช่องทางเดินรถแคบกว่าปกติ เพราะพื้นที่ของถนนในกรุงเทพฯ ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก เพราะมาคิดสร้างสะพานข้ามแยกเอาทีหลังถนนหลายปี
สะพานข้ามแยกก็เลยมักมีช่องทางแคบกว่าปกติ แล้วสะพานข้ามแยกส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกแบบให้มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งแทรกด้วย จึงมีโอกาสเฉี่ยวชนกันมากขึ้น
และที่สำคัญ เพราะสะพานมันไม่ใช่ทางราบ แต่จะมีความสูงชัน !!
ขอให้ลองนึกภาพตามว่า เวลามอเตอร์ไซค์ที่กำลังลงสะพาน ซึ่งจะต้องมีความเร็วรถบวกกับแรงโน้มถ่วงของโลกด้วย ก็จะเร็วมากกว่าปกติ ยิ่งถ้าฝนตกถนนลื่น ก็ยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ถ้าหากมอเตอร์ไซค์ล้มลงบนทางชัน สภาพจะเป็นยังไง พอมองภาพออกไหมครับ
คนบนรถที่ตกลงมาก็จะกลิ้งแรงมากขึ้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุบนสะพานข้ามแยก จึงเท่ากับเพิ่มความรุนแรงของอุบัติเหตุให้หนักยิ่งขึ้น
แถมอาจพาคนอื่นที่ขับรถยนต์ตามมา จะพลอยซวยตามไปด้วย เพราะอาจแล่นทับคนที่ตกมอเตอร์ไซค์
ถ้าคนขี่หรือซ้อนมอเตอร์ไซต์ล้มบนสะพาน ไม่ว่าจะทางขึ้น หรือทางลง มันต้องมีแรงโน้มถ่วงของโลกมาร่วมแจมด้วยเสมอ
หากการล้มของมอเตอร์ไซค์เกิดบนทางราบ รถยนต์ที่ตามมาอาจเบรคได้ทัน เพราะมันคือทางราบเรียบ
แต่ถ้ามอเตอร์ไซค์ล้มบนทางสูงชัน ถ้าในทางลง รถยนต์ก็เบรคยากขึ้น หรือบนสะพานจะมีเลนสวนกันใกล้กันมาก มอเตอร์ไซค์ก็อาจล้มข้ามเลนไปชนกับรถที่สวนมาอีกฝั่งก็ได้
นี่คือ กรณีสะพานข้ามทางแยก
ส่วนอุโมงค์ลอดทางแยกก็คล้ายคลึงกัน รถที่ลงอุโมงค์ก็มักจะวิ่งเร็ว และช่องทางก็แคบกว่าถนนปกติ แถมทัศนวิสัยในอุโมงค์ก็ไม่ดีนัก
คุณต้องอย่าลืมว่า เนื้อหุ้มเหล็กนะครับ
แต่ถ้าสะพานข้ามแยกบางสะพานที่มีช่องทางกว้างมากพอ และไม่สูงชันมากนัก เขาก็อนุญาตให้มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปใช้ได้
----------------
ปัญหาทางเทคนิคและโครงสร้างเชิงวิศวกรรม
ส่วนในทางวิศวกรรม ผมเชื่อว่า เขาคงมีเหตุผลที่ห้ามมอเตอร์ไซค์ใช้สะพานข้ามแยกบางสะพาน ถ้ายังไงคุณผู้อ่านก็ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นดูนะครับ
ส่วนผมไม่ใช่วิศวะ จึงขอสันนิษฐานโดยความเห็นส่วนตัว เช่น
1. อาจเพราะมอเตอร์ไซค์ของคนไทย ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 150 cc. แถมมีคนจำนวนมากที่ยังใช้มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ แถมสภาพการดูแลรักษาไม่ค่อยดีพอ ทั้งระบบเบรคและเครื่องยนต์ หากต้องใช้สะพานที่มีความสูงชันอย่างมาก ก็อาจเกิดปัญหาระหว่างการขึ้นลงสะพานได้
ทำให้เวลาห้ามใช้สะพาน ก็ต้องห้ามมอเตอร์ไซค์ทุกชนิดรวมกันไปเลย
2. โครงสร้างของสะพานที่มีความสูงชันมาก หรือบางแห่งอาจมีเรื่องการเข้าโค้ง ขณะที่วิ่งลงจากสะพานค่อนข้างมาก จนอาจมีผลมากกับรถ 2 ล้อ จนควบคุมการทรงตัวในขณะเข้าโค้งให้ปลอดภัยได้น้อยลงเป็นต้น
แถมบางสะพานอย่างเช่น สะพานภูมิพล ที่เพิ่งมีเหตุการณ์อุบัติเหตุรถบิ๊กไบค์ แอบขึ้นไปวิ่งจนเป็นเหตุให้มีผู้ซ้อนท้ายเสียชีวิตนั้น เขาว่าสะพานภูมิพล มีความแรงของลมบนสะพานค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อรถ 2 ล้ออย่างมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น
---------------------
อีกกรณีนึงคือ ถ้ารถยนต์ชนมอเตอร์ไซค์บนสะพาน โอกาสที่คนขี่และคนซ้อนมอเตอร์ไซค์ ก็อาจกระเด็นตกจากสะพานลงมาได้ จึงเท่ากับเพิ่มความรุนแรงของอุบัติเหตุให้มากยิ่งขึ้น
เช่น ถ้ารถยนต์เฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์บนทางเรียบแบบไม่รุนแรงนัก คนขี่มอเตอร์ไซค์ก็อาจตกรถ บาดเจ็บแค่บนถนน
แต่ถ้าเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์บนสะพาน ยิ่งช่วงทางลงด้วย ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ แถมคนขี่และคนซ้อนมอเตอร์ไซค์อาจผลัดตกจากสะพานได้
แปลง่าย ๆ ว่า แทนที่จะแค่บาดเจ็บธรรมดา แต่กลายเป็นตายไปเลย จากการตกสะพานข้ามแยก
--------------------
โดยส่วนตัว ผมไม่คิดจะห้ามพวกมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางแยกนะ เพราะห้ามไปเขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่ฟังหรอก เพราะเขามีเหตุผลอ้างถึงความจำเป็นได้เสมอนั่นแหละ
เช่น มอเตอร์ไซค์ที่ชอบขี่ย้อนศร หรือ มอเตอร์ไซค์ที่ขี่บนฟุตบาท ลองไปถามพวกคนขี่มอเตอร์ไซค์พวกนี้ดูสิ เขาจะมีเหตุผลมาอ้างถึงความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
ผมว่า ทางตำรวจและกรมทางหลวง หรือ กทม. หรือหน่วยงานราชการ ที่ดูแลกำกับกฎหมายเรื่องห้ามมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางแยก หรือลงอุโมงค์ลอดทางแยกน่ะ
สั่งยกเลิกไปเลย แต่ช่วยบอกบริษัทประกันภัยให้เพิ่มเบี้ยประกันชีวิตคนขี่มอเตอร์ไซค์ให้มากขึ้นด้วย เอาแบบประกันภัยชั้น 1 ได้ก็จะดีมาก (ต้องบังคับให้ทำ ใครไม่ทำมีโทษหนัก) รวมทั้งเพิ่มเบี้ย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ด้วย
เพราะคนตายและพิการจากอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์น่ะ มีจำนวนมากจริง ๆ ในประเทศที่คนชอบเรียกร้องแต่สิทธิของตนเอง แต่ไม่ชอบทำตามหน้าที่หรือเคารพกฎหมาย
ทั้ง ๆ ที่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ได้เปลืองน้ำมันอะไรมากนัก เพราะรถก็ไม่ต้องติดแงกเหมือนรถยนต์ เพราะวิ่งซิกแซกได้ ก็ยังจะขอขึ้นสะพานข้ามทางแยกอีก โดยอ้างเรื่องความเท่าเทียมกัน
ไอ้เรื่องชอบอ้างความเท่าเทียมกันแบบนี้ ก็ตามสบายครับ
ผมชินละ
ที่เขาห้ามรถมอเตอร์ไซค๋ขึ้นทางแยก มันไม่ได้ลำบากหนักหนาอะไรเลย ถ้าคุณจะขี่ไปตามทางปกติ ไม่ได้ช้าเท่าไหร่นัก เพราะคุณคือ มอเตอร์ไซค์
แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุบนสะพานข้ามแยกสักครั้งเดียว คุณอาจพิการหรือตาย แล้วจะมาคิดได้ว่า ไม่น่าเลยกู ก็อาจสายไปแล้ว พิการไปแล้ว อาจต้องไปแก้ตัวใหม่ในชาติหน้า
ที่กฎหมายเขาห้ามมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางแยก ก็เพื่อช่วยลดความเสี่ยงตายของชีวิตและร่างกายของพวกคุณเองนะ
ก่อนจบบทความ ผมอยากขอให้ตำรวจกวดขันเรื่องวินัยจราจร โดยเฉพาะเรื่องสวมหมวกกันน็อคให้เข้มงวดขึ้น ก็จะช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ได้มาก
ผมเจอทุกวัน พวกขี่มอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อค แถมบางคนมีกดโทรศัพท์ไปด้วย แล้วถ้าเกิดรถมอเตอร์ไซค์เกิดเสียหลักล้มเองแล้วมาเฉี่ยวโดนรถคนอื่น หรือล้มแล้วโดนรถที่ตามมาทับล่ะ
คนขี่มอเตอร์ไซค์ตายเพราะทำตัวเองน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนอื่นเขาจะซวยไปด้วยนี่สิ
การเพิ่มเบี้ยประกันกับพวกมอเตอร์ไซค์จึงมีความสำคัญมาก เพราะมีความเสี่ยงตายหรือเสี่ยงพิการมากที่สุด จะได้มีเงินมาเยียวยามากขึ้น หากตายหรือพิการตลอดชีวิต
ก่อนจบบทความ ผมถามคุณผู้อ่านเล่น ๆ ว่า คุณมีคนรู้จักเช่น เพื่อน ญาติพี่น้อง ที่ต้องตายจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์บ้างไหม
เห็นเขาว่า แทบไม่มีใครในแผ่นดินไทยนี้ที่ไม่เคยมีคนรู้จักต้องมาตายด้วยอุบัติจากมอเตอร์ไซค์เลย จริง ๆ นะ
-------------------
คลิปเหตุการณ์ตัวอย่าง อุบัติเหตุอุโมงค์ท่าพระ
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.59 ที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุในอุโมงค์ท่าพระ เมื่อรถกระบะส่งขนมปังเบรคแล้วเกิดเสียหลักจนข้ามเลนไปทับคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่มาอีกทางตายคาที่
ผลตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดพบว่า คนขับรถกระบะมีแอลกอฮอล์สูงถึง 147 ซึ่งเกินค่าที่กฎหมายกำหนด
แต่ที่ผมนำคลิปนี้มาให้ดูเพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ในอุโมงค์หรือสะพานข้ามแยก โอกาสที่อุบัติเหตุจะข้ามเลนมาชนกันแบบนี้อันตรายต่อผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นอย่างมาก
หรือแม้แต่มอเตอร์ไซค์ที่ขี่ตามมายังต้องเบรถกะทันหัน จนรถล้มเลย เห็นไหมครับ ดีที่ไม่มีรถขับตามหลังมา ไม่งั้นอาจมีอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้อีก
วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559
ก๋งของผมไม่ใช่ชาวนา และไม่รู้จักประชาธิปไตย
ก๋งของผมมาจากเกาะไหหลำเมื่อ 93 ปีที่แล้ว ก๋งเคยไปทำงานอยู่ยะลา ก๋งบอก ยะลาคือจังหวัดที่มีอากาศดีที่สุดในประเทศไทย
ก๋งผมหนีญาติผู้พี่ที่เกเรจากไหหลำ มาอยู่ไทยตั้งแต่อายุ 19 จนอายุ79 ก็เสีย ก๋งไม่เคยได้กลับไหหลำอีกเลย
ก๋งเคยเป็นพ่อครัวอาหารฝรั่งในวังสมัยรัชกาลที่ 7 อยู่หลายปี ในวังของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ซึ่งพระองค์ก็ทรงตั้งชื่อให้แม่ผมด้วย
แต่ต่อมาก๋งผมต้องลาออกจากการเป็นพ่อครัวในวัง เพราะยายไม่ชอบอยู่ในวัง เพราะยายกลัวพวกหมาฝรั่งในวัง ที่ทั้งดุและเห่าดังจนยายกลัว ก๋งเล่าให้ผมฟังแบบนี้
สำหรับลูกหลานของก๋งผมทุกคน รักประเทศไทยและรักในหลวงมาก ๆ เพราะทุกวันนี้เราทุกคนลูกหลานของก๋งคือคนไทย หัวใจไทย ครับ
แม้ลูกหลานของก๋งอาจตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทยได้ไม่มากเท่าที่ใจอยากจะทำก็ตาม
แต่ที่แน่ ๆ พวกเราลูกหลานของก๋งไม่เคยคิดทำร้ายให้ร้าย หรือทรยศชาติไทย หรือเผาชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองแน่นอน
-----------------
ตอนเด็ก ๆ ก๋งผมเคยหยิบหนังสือภาษาจีนเล่มนึงมาให้ผมดู แล้วก๋งก็บอกว่า คือหนังสือเกี่ยวกับท่านประธานเหมาเจ๋อตุง
ก๋งบอก ห้ามให้คนอื่นเห็น ไม่งั้นเดี๋ยวตำรวจมาจับ
ก๋งผมบอกว่า ก๋งชอบเหมาเจ๋อตุงมาก ๆ แต่ก๋งก็บอกต่ออีกนิดว่า แต่ก๋งชอบเติ้งลี่จวินมากกว่า เพราะก๋งมีครบทุกอัลบั้มเลย (ฮา)
ส่วนผมน่ะเหรอ ตอนเด็ก ๆ ก็บ้าเกลียดพวกคอมมิวนิสต์เหมือนกัน เพราะโดนพวกผู้ใหญ่สอนฝังหัวผมไว้ว่า พวกคอมมิวนิสต์โหดร้ายทารุณน่ากลัว ประมาณนั้น
แต่พอผมโตขึ้นถึงได้รู้ว่า คอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลย แต่กลับเป็นระบอบที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งระบอบคอมมิวนิสต์เน้นเรื่องความเท่าเทียมกันมากที่สุด
เพียงแต่ว่า ระบอบคอมมิวนิสต์แท้ ๆ เป็นระบอบที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในโลกยุคนี้เท่านั้น แน่จริงไปหามาซิ ว่าที่ใดในโลกมีความเท่าเทียมกันอยู่จริง
นั่น !! ต้องเป็นยุคพระศรีอาริยเมตไตรยนั่นแหละ ถึงจะมีระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงได้ ฮ่า ๆ
แต่ที่แน่ ๆ พวกคอมมิวนิสต์ตกยุคในไทยนั่นน่ะ โง่ที่สุดในโลกร้อยเปอร์เซนต์ แถมยังสามารถหลอกคนโง่ ๆ ที่หลงคิดว่าตัวเองฉลาดไปเป็นพวกได้อยู่เรื่อย ๆ นะ
แถมชอบแอบอ้างประชาธิปไตยบังหน้าทั้งนั้น
เพราะหลักประชาธิปไตยจริง ๆ ไม่ได้เน้นเรื่องความเท่าเทียมกันเท่าไหร่นัก แต่จะเน้นเรื่องเสียงส่วนใหญ่ตัดสินแทนเสียงส่วนน้อยมากกว่า
ก็ในเมื่อใช้เสียงส่วนใหญ่เอาชนะเสียงส่วนน้อย แล้วมันจะเท่าเทียมกันจริง ๆ ได้ไงจริงไหม (ฮา)
ตัวอย่างเช่น ถ้าในจังหวัดนึงมีเผ่าแม้วอยู่แสนคน มีเผ่ากะเหรี่ยง 5 หมื่นคน เลือกตั้งกี่ครั้ง ๆ ตัวแทนจากเผ่าแม้วมันก็ชนะได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่อยู่วันยังค่ำจริงไหม แล้วมันจะเท่าเทียมกันได้ยังไง ฮ่า ๆ
(ตัวอย่างที่ผมสมมุติไม่ใช่ว่าไม่มีเกิดขึ้นจริง มีเรื่องจริงเช่น การเลือกตั้งของ อบต.บางตำบล เผ่าที่มีประชากรมากกว่าก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไป)
-----------
สรุปนะ ก๋งผม ไม่รู้จักประชาธิปไตย แต่ไม่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ แค่ชอบเหมาเจ๋อตุงน้อยกว่าเติ้งลี่จวินเท่านั้น
ก๋งผมตายไป 33 ปี มาแล้ว ก่อนก๋งตาย ก๋งชอบดูซีรีย์จีน ชอบฟังเพลงจีน อ่านหนังสือพิมพ์จีนทุกวัน ถ้าเบื่อ ๆ ก็เดินไปพูดคุยกับเพื่อนฝูงตามร้านอาหารของคนจีนด้วยกันบ้างตามประสาคนแก่
ก๋งผมไม่เคยไปเลือกตั้งเลย เพราะไม่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ก๋งผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรเลย ชีวิตโดยรวม ๆ ของก๋งผมก็ดูมีความสุขดีนะ
บทความนี้ไม่มีอะไรมากหรอก ผมแค่อยากเขียนเรื่องของก๋งผมทิ้งไว้เท่านั้นเอง ขอจบดื้อ ๆ แค่นี้นะ ขอบคุณที่ใครอ่านจนจบ ก็ขอให้รวย ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559
พวกต่อต้านโทษประหารชีวิต คือพวกปลวกทำลายชาติไทย
เมื่อปีที่แล้ว พ.ศ. 2558 สหรัฐอเมริกาประหารชีวิตนักโทษไปทั้งหมด 28 ราย
ส่วนประเทศไทยไม่มีการประหารชีวิตมานานกว่า 7 ปีแล้ว คือครั้งสุดท้ายที่ไทยได้ประหารนักโทษ คือเมื่อพ.ศ. 2552
มิน่าล่ะ พวกค้ายาเสพติด พวกมือปืนรับจ้าง และพวกชั่วทั้งหลายมันเลยไม่กลัวโทษประหารชีวิตกันเลย
ส่วนไอ้พวกโง่ NGO นักสิทธิมนุษยชนที่ต่อต้านการประหารชีวิตน่ะ สงสัยมันจะรับเงินพวกต่างชาติที่อยากให้ประเทศไทยมีคนเลวเยอะ ๆ เต็มประเทศมั้ง จะบ่อนได้ทำลายชาติไทยได้ง่ายขึ้นมั้ง?
ปกติรัฐบาลก็ต้องเอาเงินภาษีจากคนดีเอาไปเลี้ยงนักโทษในคุก อันนี้ก็เป็นไปตามหลักการทั่วไป
แต่กรณีไอ้พวกชั่วที่มันเข้า ๆ ออก ๆ คุก เป็นว่าเล่นไม่เข็ดหลาบนี่สิ
แล้วรัฐบาลก็ยังต้องเอาเงินภาษีที่ได้จากคนดีคนทำมาหากินสุจริตที่จ่ายภาษีให้ชาติไปเลี้ยงไอ้พวกชั่วไม่มีจบสิ้น
เพราะการลดหย่อนผ่อนโทษแบบไม่มีหลักคิดที่ถูกต้อง รวมถึงโทษประหารชีวิตที่ได้กลายเป็นเสือกระดาษไปแล้ว
จึงทำให้คนชั่วได้ใจ
----------------
ไอ้พวก NGO ที่ต่อต้านการประหารชีวิต แม่งคือปลวกทำลายชาติชัด ๆ
ผมไม่ใช่ไม่อยากให้พวกนักโทษประหารกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี แต่ผมเมตตามากกว่านั้น คือ อยากให้โอกาสนักโทษประหารได้ไปเกิดเป็นคนดีใหม่เลยด้วยซ้ำ
เพราะการประหารชีวิตทำให้คนชั่วโทษรุนแรงพวกนี้จะไม่กลับไปก่อคดีซ้ำอีก ความเสี่ยงกระทำผิดซ้ำย่อมกลายเป็นศูนย์
ถามว่า ถ้าปล่อยพวกนักโทษประหารชีวิตออกไป แล้วเกิดไปก่อคดีซ้ำอีก ใครล่ะจะรับผิดชอบ ไอ้พวกต่อต้านโทษประหารชีวิต มึงกล้ามารับผิดชอบไหม ?
เอางี้ ไอ้พวก NGO นักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ถ้าพวกมึงไม่อยากให้ประหารชีวิตนักโทษรายไหน มึงก็จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูนักโทษคนนั้น ๆ ไปตลอดชีวิตในเรือนจำไหมล่ะ
แล้วถ้านักโทษประหารที่ได้ลดหย่อนโทษจนได้ออกจากคุก พวก NGO ที่ต่อต้านโทษประหาร พวกมึงกล้ามาเซ็นรับรองรับประกันไหมว่า ถ้าพวกนักโทษเหล่านี้ออกไปสู่สังคมภายนอกแล้วเกิดก่อคดีซ้ำอีก พวกมึงต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วยเอาไหมล่ะ
ถ้าพวกมึงสักแต่ต่อต้านการประหารชีวิตแบบมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ จนบ้านเมืองชิบหายวายวอดเพราะพวกมึงต่อต้านโทษประหารน่ะ
กูว่า พวกนักสิทธิมนุษยชน พวกมึงเลิกทำตัวหนักแผ่นดินเถอะว่ะ พวกมึงอยู่เฉย ๆ บ้านเมืองจะดีขึ้นกว่านี้อีกเยอะ
เพราะพวกมึงมัวแต่ปกป้องสิทธิคนชั่วที่ก่อคดีมากกว่าปกป้องคนดีที่เขาตายเพราะน้ำมือคนชั่วไปแล้ว
-----------------
คนดีต้องตายแบบไม่มีทางได้แก้ตัว แต่คนชั่วที่ฆ่าคนดีกลับไม่ตาย แถมยังได้รับการเลี้ยงดูในคุกจากภาษีของคนดี ๆ ที่ต่อไปคนดี ๆ ที่จ่ายภาษีอาจต้องตายเพราะคนชั่วเป็นรายต่อไป
ถุยส์ ระบบจัดการกระบวนการยุติธรรมประเทศนี้มันชั่งเฮงซวยจริง ๆ เพราะแบบนี้ไงล่ะ คนเลวมันถึงเต็มบ้านเต็มเมือง
ในประเทศที่เจริญแล้ว ที่ผู้คนเขามีจิตสำนึกในหน้าที่ เกรงกลัวกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ เขาจะยกเลิกโทษประหารชีวิตไปก็ไม่แปลก เพราะศีลธรรมของคนเขาดีแล้ว เจริญแล้ว
แต่บ้านเมืองที่วินัยคนในชาติยังหย่อนยานมาก แถมไม่รู้จักหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ แล้วยังมีกฎหมายที่เป็นแค่เสือกระดาษ
คนชั่วคนเลวก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นทวีคูณแพร่จำนวนเร็วอย่างกับเชื้อโรค จนคุกแทบไม่พอขังโจร
จนเรือนจำก็เลยต้องรีบชงเรื่องลดหย่อนผ่อนโทษเพื่อปล่อยนักโทษเป็นอิสระเร็วขึ้น ก็เพื่อให้เรือนจำไม่แออัดจนคุกแตก
แล้วไอ้พวกคนชั่วที่ได้รับโทษอย่างไม่สาสมกับความผิด มันก็เลยยิ่งได้ใจว่า ประเทศนี้คุกแม่งเข้า ๆ ออก ๆ ง่ายดีจังว่ะ
แล้วพวกชั่วมันก็เลยไม่กลัวติดคุกเท่าไหร่ ยิ่งพวกค้ายาเสพติด มันบอก บทลงโทษน้อย จนคุ้มค่าที่จะเสี่ยงค้ายา อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะโทษสูงสุดคือประหารชีวิต เลิกใช้ไปหลายปีแล้ว
พอนึกภาพออกรึยังว่า ทำไมปัญหาค้ายาเสพติดถึงมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีแนวโน้มจะลดลงเลย
ก็เพราะมันคุ้มที่จะเสี่ยงทำเลวไงล่ะ
แล้วไอ้พวกที่กระทำผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นน่ะ มันต้องไม่มีการลดหย่อนผ่อนโทษให้อีกแล้ว แถมสมควรเพิ่มโทษให้หนักยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ
แต่เจ้าหน้าที่ในระบบยุติธรรมไทย ไม่รู้คิดกันยังไง ถึงได้ไม่ลงโทษพวกกระทำผิดซ้ำให้หนักขึ้น หรือว่าได้ประโยชน์จากไอ้พวกชั่วเหล่านี้ ??
ผมได้ยินข่าวบ่อย ๆ มีพวกกระทำชั่วซ้ำซาก มีประวัติเข้าคุกมาหลายครั้งโดยไม่เข็ดหลาบ
นี่แหละเหตุทำให้สังคมไทยเพี้ยน สังคมวิปริตมากขึ้น เพราะคนดีไม่ได้รับการปกป้องที่ดีพอ แต่คนชั่วกลับได้รับความเมตตามากเกินไป
จริงไหม ??
ผมไม่ได้คัดค้านการลดหย่อนผ่อนโทษให้นักโทษคดีร้ายแรง แต่กระบวนการยุติธรรมควรปฏิรูปวิธีคิดใหม่ว่า คดีแบบไหนควรลดหย่อนโทษได้ และคดีไหนไม่สมควรลดหย่อนโทษเลย หรือเมื่อได้รับการลดหย่อนโทษแล้ว ก็ไม่ควรได้สิทธิรับการอภัยโทษอีก
หรือการพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษในคดีอุกฉกรรจ์รายเดิม ก็ไม่ควรได้รับซ้ำกันหลายครั้ง จนจากโทษประหารชีวิต แต่สุดท้ายเหลือติดคุกจริงไม่ถึง 10 ปีก็ได้ออกจากคุกมาแล้ว
ตัวอย่างเช่น มือปืนรับจ้าง อาชีพนี้คืออาชีพที่ทำลายคนดี และระบบคุณธรรมของประเทศอย่างมาก ทำให้คนดีจำนวนมากไม่กล้าขัดขวางคนชั่ว เพราะกลัวไข้โป้ง
การที่ข้าราชการไม่กล้าขวางผู้มีอิทธิพล ก็เพราะกลัวตายนี่แหละ เลยเลือกคอร์รัปชันดีกว่าตาย
ฉะนั้นอาชีพรับจ้างฆ่าคน คือรากฐานของการทำลายชาติ อาชีพนี้จึงไม่ควรได้รับความเมตตาลดหย่อนโทษลง เป็นต้น
-----------------------
สรุปอีกครั้งตามชื่อบทความ ไอ้พวกต่อต้านโทษประหาร แม่งคือ ปลวกทำลายชาติบ้านเมือง
แม้โทษประหารอาจไม่ได้ลดปริมาณอาชญากรรมลง ก็อาจเป็นได้ (แต่ไม่แน่ ถ้าไม่ลองใช้โทษประหารให้จริงจังดูสัก 10 ปี อาชญากรรมอาจจะลดลงก็ได้ เพราะ สันดานคนไทยมักไม่ค่อยเหมือนชาติใดในโลกอยู่แล้ว คือ ถ้าไม่ถูกบังคับ คือไม่เคยเชื่อฟัง)
แต่ที่แน่ ๆ โทษประหารสามารถลดปริมาณคนชั่ว และลดความเสี่ยงที่พวกชั่วจะออกไปก่อคดีซ้ำจนคนดีต้องมาตายเพราะพวกชั่วนี้อีกได้อย่างแน่นอน
เพราะสังคมไทยมีคนเลวมากเกินไปแล้ว ที่สำคัญ ไม่เปลืองภาษีชาติว่ะ
คลิกอ่าน ศีลธรรมยิ่งเสื่อมกฎหมายยิ่งต้องแรง
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559
แก้ปัญหากูเกิลโครมช้า กับปัญหาเส้นผมบังภูเขา
พอดีอยู่ ๆ กูเกิลโครม Google Chrome ของผมดันโหลดหน้าเว็บช้ามากในหลาย ๆ เว็บจนผิดปกติ
โดยเฉพาะเฟสบุ๊คเนี่ย โหลดไม่ได้เลย จนขึ้นข้อความ error ในที่สุด
ผมก็พยายามไล่แก้ปัญหาไปทีละจุด เช่น เช็คอัพเดทโครม ก็แก้ไม่หาย
ลบปลั๊กอินบางตัวออก ก็แก้ไม่หาย
ลองลบบุ๊คมาร์คออกไปเยอะ ก็แก้ไม่หาย
ไปล้างข้อมูลท่องเว็บ ก็แก้ไม่หาย
ตรวจสอบไวรัส ก็แก้ไม่หาย
โหลด อัพเดท driver ใหม่ ก็แก้ไม่หาย
คือทำทุกอย่างอีกหลายวิธีที่ในเน็ตเขาแนะนำไว้ ก็ไม่หาย
จนกระทั่งผมไปเจอคำแนะนำนึงของกูเกิลโครมเอง โดยบังเอิญ
นั่นคือ ลองตรวจสอบนาฬิกาของคอมพิวเตอร์ของคุณดูซิ เพราะถ้าวันเวลาคลาดเคลื่อนมาก อาจเกิดปัญหา SSL
คลิกที่รูปเพื่อขยาย
Net::ERR_CERT_DATE_INVALID
หากคุณเห็นข้อผิดพลาดเหล่านี้ แสดงว่าวันที่และเวลาที่ไม่ถูกต้องบนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด SSL หากต้องการให้ข้อความนี้หายไป โปรดอัปเดตนาฬิกาของอุปกรณ์และตรวจสอบว่าวันที่ถูกต้องแล้วโดยละเอียด
เอาวะ ผมลองเช็คเวลามาตรฐานประเทศไทย แล้วเทียบกับนาฬิกาในโน๊ตบุ้คของผม
ปรากฏว่า นาฬิกาในโน๊ตบุ้คของผม เดินช้ากว่าเวลามาตรฐานไป 8 นาที
ผมก็เลยตั้งเวลาใหม่
พอตั้งเสร็จ ลองเปิดกูเกิลโครมอีกครั้ง
ผลปรากฏว่า โหลดเว็บเร็วกลับมาปกติเช่นเดิมครับ
ปัญหาอยู่ที่นาฬิกาของคอมพิวเตอร์ของเรานั่นเอง
ปัญหาเส้นผมบังภูเขาแท้ ๆ 555
คลิกอ่าน โปรแกรม avast v5 ทำเครื่องผมค้าง
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559
ห้ามแจกขันแดง แล้วแจกอะไรดี นายกแนะนำ
ขำขัน ตอน ถ้าไม่แจกขันแดง แล้วแจกอะไรดี ?
akecity : ท่านนายกครับ ถ้าท่านห้ามเขาแจกขันแดงติดรูปนักโทษหนีคดี แล้วจะแจกอะไรดีที่ไม่เป็นการยั่วยุครับ
ท่านนายก : ก็แจกตุ่มใส่น้ำสิ แจกไปเลยหมื่นใบ แถมต้องมีน้ำเต็มตุ่มด้วยนะ ถึงจะเรียกว่า รักชาวบ้านจริง ๆ ว่าไม่ใช่หวังผลทางการเมือง แต่ห้ามเอารูปนักโทษหนีคดีหรือชื่อนักโทษหนีคดีมาติดที่ตุ่มล่ะ ไม่งั้นจะถือว่ามีความผิด แต่ถ้าจะติดที่ตาตุ่มก็ได้
akecity : อ๋อครับ เดี่ยวจะไปแจ้งข่าวให้พวกมันรู้ครับท่าน
--------------
เฮ้ย !! ไอ้พวกขี้ข้าแม้ว แน่จริงพวกมึงแจกตุ่มแล้วใส่น้ำให้เต็มตุ่มสักหมื่นใบสิวะ
แจกไปเลย เดี๋ยวท่านนายกฯ จะแจกโล่คนดีช่วยชาติตามนโยบายประชารัฐให้ด้วย เข้าใจไหม ไอ้พวกขี้ข้าแม้ว
"ทำไม ขันสีแดง สีเหลือง หรือสีอะไร มันตักน้ำได้หรือเปล่า หรืออยากได้สีแดง เพราะอาบแล้วสบายกว่าสีอื่นหรือ... ถ้าเจตนาดีมันจะมาแจกทำไมกันล่ะขัน แจกตุ่มซิ เอาไว้เก็บน้ำฝน ขันเอามาทำไม ปัดโธ่ ก็รู้อยู้ว่าเจตนาเขาทำเพื่ออะไร..." ท่านนายกกล่าวทิ้งท้าย
สรุปนะ พวกขี้ข้าแม้วจะแจกอะไรก็ตาม แค่อย่าเอาชื่อเอารูปนักโทษหนีคดีและผู้ต้องหาที่กำลังมีคดีความติดตัวอย่างยิ่งลักษณ์มาติดก็พอ เพราะมันเท่ากับกำลังมีเจตนาแฝงทางการเมือง ซึ่งยุคเผด็จการเขายังไม่อนุญาตให้ทำ เข้าใจนะ
คลิกอ่าน จากขันแดงทักษิณถึงโอ่งแดงของกิตติรัตน์ จอมโกหก
วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559
จากคดีน้ำพริกแม่ประนอม กับกรณีตัวอย่างพี่สาวแสนเลว
ถ้าพูดถึงเรื่องน้ำพริกเผานะ ปกติผมชอบซื้อมาทาขนมปังกับหมูหยอง ซึ่งยี่ห้อที่ผมซื้อมาทำขนมปัง ผมซื้อกินเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้นคือ น้ำพริกเผาตราพันท้ายนรสิงห์ เพราะผมว่าอร่อยลงตัว ถูกปากผมมากที่สุด (ไม่ได้ช่วยโฆษณาให้เขานะ คือผมชอบกินจริง ๆ)
แต่มีน้ำพริกเผายี่ห้อนึงที่ผมโคตรเกลียดเลย เพราะเคยหลวมตัวซื้อมาลองกินครั้งนึงเมื่อปี 2554 ในช่วงน้ำท่วมใหญ่
พอดีน้ำพริกเผาตราพันท้ายนรสิงห์เกิดขาดส่ง ไม่มาส่งร้านค้าที่ผมซื้อเป็นประจำ ทำให้ผมเลยต้องจำใจต้องซื้ออีกยี่ห้อนึงแทน ยี่ห้อนี้ชื่อเหมือนอาจารย์สุขุม นวลสกุลน่ะ บอกตรง ๆ ยี่ห้อนี้ ผมกินไปไม่กี่ครั้ง ผมโยนทิ้งลงถังขยะเลยครับ เพราะรสชาติห่วยแตกมาก ๆ
ที่จริงโรงงานน้ำพริกตราพันท้ายนรสิงห์ ก็อยู่ใกล้ ๆ กับ โรงงานน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอมนะ อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก แม้จะตั้งอยู่กันคนละจังหวัดก็ตาม เป็นช่วงเขตติดต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับสมุทรสาคร
แต่ที่แน่ ๆ ชื่อพันท้ายนรสิงห์ บ่งบอกอยู่แล้วว่า ซื่อสัตย์ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
-------------------
ทีนี้กลับมาที่ข่าวดังของคนในตระกูลน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม ที่แม่ประนอมต้องมีปัญหาแย่งทรัพย์สมบัติกับลูกสาวคนโตนั้น
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ เรื่องนึงที่ผมเคยได้ยินมาจากผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ซึ่งน่าจะเทียบเคียงกับกรณีแม่ประนอมกับลูกสาวพอได้ครับ
เรื่อง พี่ที่ดี กับ พี่ที่เลว
ต่อไปผมจะเล่าเรื่องที่ผมเคยรู้ของครอบครัวนึงที่รูัจักกันให้ฟัง
ในอดีตเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว มีครอบครัวหนึ่ง ผู้เป็นพ่อได้ไปจับจองที่ดินรกร้างเพื่อบุกเบิก ตามที่ทางราชการอนุญาต แต่จะต้องไปหักล้างถางพงด้วยตัวเอง
ซึ่งพ่อและแม่กับลูกชายคนโตจึงเข้าหักร้างถางพงบุกเบิก เพื่อให้ได้ที่ดินมาทำกิน
ต่อมาทางราชการให้ลงชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิในที่รกร้างที่ได้ไปหักร้างถางพงกัน คนละไม่เกิน 100 ไร่ และคนในครอบครัวเดียวกันต้องมีรวมกันไม่เกิน 300 ไร่
ผู้เป็นพ่อ ก็เลยลงชื่อเป็นเจ้าของ 100 ไร่ แล้วให้ลูกชายคนโต และลูกสาวคนรอง ลงชื่อเป็นเจ้าของที่ดินอีกคนละ 100 ไร่ (พี่สาวถือครองแทนผู้เป็นแม่ เพราะแม่อ่านเขียนไม่ได้) เพราะในบ้านมีแค่ลูก 2 คนนี้เท่านั้นที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
ต่อมาผู้เป็นพ่อตายลง ก่อนตายก็บอกพวกพี่ให้แบ่งที่ดินให้น้อง ๆ อีก 5 คนด้วย
ผ่านไปอีกเกือบ 10 ปี ลูก ๆ ทุกคนได้บรรลุนิติภาวะจนหมด ก็ถึงเวลาแบ่งที่ดินกัน
แต่พี่สาวคนรองที่ได้ชื่อเป็นเจ้าของที่ตามกฎหมาย 100 ไร่ กลับไม่ยอมนำที่ดินของตัวเองมาแบ่งให้น้อง ๆ
ในขณะที่พี่ชายคนโตทำตามคำสั่งพ่อ เอาที่ดินในส่วนของตนเองและส่วนของพ่อ มารวมกันเพื่อแบ่งให้น้อง ๆ ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ในขณะที่ตัวพี่สาวคนรองก็มาขอสิทธิรับแบ่งในที่ดินส่วนนี้ด้วย คือเอาทั้งสองทาง โดยอ้างว่า เธอก็มีสิทธิรับมรดกในที่ดินของพ่อเช่นกัน
--------------------
จากเรื่องที่ผมเล่ามา ได้ข้อคิดอะไร ?
ถ้าตามหลักกฎหมาย พี่สาวก็ไม่ผิดกฎหมายที่ไม่เอาที่ดินส่วนของตนเองถือครองมาแบ่งให้น้อง ๆ
แต่ในหลักคุณธรรมแล้ว พี่สาวคนรองผิดเต็ม ๆ
ผมอยากจะบอกว่า หากพ่อแม่ตาย พี่ต้องเป็นเสมือนพ่อและแม่ของน้อง ๆ แทน
หน้าที่ของพี่ต้องทำงานหนักเพื่อน้อง ๆ และต้องดูแลน้อง ๆ ให้เสมือนลูกอยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลาแบ่งทรัพย์สินของพ่อแม่ พี่ก็ต้องแบ่งให้น้อง ๆ อย่างยุติธรรม
ไม่ใช่ถือความเป็นพี่ฮุบสมบัติไว้เอง แล้วอ้างว่า กูทำมามากกว่าคนอื่น ๆ กูต้องได้ทั้งหมด พวกน้อง ๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย จึงไม่มีสิทธิได้ทรัพย์ที่ตัวเองไม่ได้เหนื่อยยากทำมา
แบบนี้ เขาเรียกว่า พี่ที่เลวครับ
------------------------
ข้อคิดส่งท้าย
ถ้าใครดูหนังแขก หนังญี่ปุ่น หนังเกาหลีเยอะๆ
แม้แต่พ่อสั่งให้ลูกฆ่าตัวตาย ลูกยังต้องทำตามคำสั่งพ่อเลย เพื่อพิสูจน์ว่า จงรักภักดีต่อตระกูลและกตัญญูต่อพ่อยิ่งกว่าชีวิต
เช่น เรื่องล่าสุดที่ผมดู แล้วมีพ่อสั่งให้ลูกชายฆ่าตัวตาย คือเรื่อง หมอจินหมอข้ามศตวรรษ
ถ้าคนไทยเข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้ เรื่องทรัพย์สินยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ขี้ประติ๋วมากสำหรับการให้พ่อแม่
ศีลธรรมคนไทยห่วยลงทุกวัน
---------
ส่วนความคืบหน้าข่าวคดีแม่ประนอม 31/03/2515
น้องไบร์ทรายงานความคืบหน้า ซี่งผมสรุปได้ว่า
ลูกสาวคนโตแม่งทั้งปล่อยข่าวใส่ร้ายแม่ว่าจะขายบริษัททิ้ง(เลยโกงแม่ก่อนซะเลย) แต่แม่ประนอมบอกจะขายได้ยังไง ร่วมสร้างกับสามีมากับมือ แถมลูกสาวยังโกงแม่เรื่องที่ดินของพ่อมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท
คลิกอ่าน การ์ตูนการเมือง ตอน น้ำพริกเผา ตราลูกสาวเนรคุณ
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559
กรณีลูกฮุบกิจการน้ำพริกเผาแม่ประนอม แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร
จากกรณีที่เป็นข่าวในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมานี้ คือกรณีนางประนอม แดงสุภา ออกมายื่นเรื่องร้องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความเป็นธรรม จากกรณีที่ถูกลูกสาวคนโตและลูกเขยได้ร่วมกันฮุบกิจการบริษัทผลิตน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอมของตนไป
โดยแม่ประนอมอ้างว่า เพราะความที่แม่ประนอมอ่านหนังสือไม่ค่อยออก จึงถูกลูกสาวคนโตลวงให้เซ็นชื่อในหลาย ๆ เรื่อง ในช่วงที่แม่ประนอมต้องดูแลสามีที่กำลังป่วยทั้งก่อนที่สามีจะเสียชีวิตและหลังที่สามีเสียชีวิตแล้ว
ส่วนผู้ที่ติดตามข่าวเรื่องนี้ หลาย ๆ คนก็เกิดอารมณ์โมโหจนเข้าไปด่าทอลูกสาวคนโตของแม่ประนอม ที่เพจของน้ำพริกเผาแม่ประนอมกันอย่างล้นหลาม
แต่หลายคนก็บอกว่า ควรจะฟังความจากลูกสาวก่อน เพราะอาจเป็นเรื่อง โอล่ะแม่ ก็ได้
ล่าสุดทางฝ่ายลูกสาวคนโตของแม่ประนอมได้บอกผ่านทนายความว่า จะไม่มีการแถลงข่าวตอบโต้ผู้เป็นแม่ เพราะเกรงจะกระทบต่อคดีความและล่วงอำนาจศาล แต่พร้อมที่จะคุยกับแม่ประนอม ฉันแม่กับลูก เหมือนเดิม
ซึ่งเมื่อเราดูรายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จากรายงานข่าว ไม่มีชื่อแม่ประนอมและคนในตระกูลแดงสุภาคนอื่น ๆ ถือหุ้นอยู่เลย
มีเพียงลูกสาวคนโตของแม่ประนอมและลูกเขยและคนในครอบครัวของลูกสาวคนโตเท่านั้นที่ถือหุ้นอยู่ ตามนี้
นาง ศิริพร แดงสุภา ถือหุ้นใหญ่สุด 28,000 หุ้น มูลค่า 28 ล้านบาท (ลูกสาวคนโตแม่ประนอม)
นางสาวธนาภรณ์ ภาษาประเทศ นางสาว สุรพร ภาษาประเทศ นางสาว อุรชา พีชาสารานนท์ ถืออยู่คนละ 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้น ที่ถืออยู่คนละ 10 ล้านบาท (ลูก ๆ ของนางศิริพร แดงสุภา)
นายสุชาติ ภาษาประเทศ ถืออยู่ 1,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท (สามีนางศิริพร แดงสุภา)
คลิปแม่ประนอมแถลงข่าวเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด แนะนำควรดูให้จบ
รายงานจากสำนักข่าวอิศรา แรกเริ่มเดิมทีก่อตั้งบริษัท มีหุ้นกัน 3 คน คือ สามีแม่ประนอม ลูกสาวคนโต และแม่ประนอม โดยพ่อกับลูกสาวคนโตถือหุ้นใหญ่เท่ากัน 2 หมื่นหุ้น ส่วนแม่ประนอมมีหุ้น 18,200 หุ้น
แต่แล้วจู่ ๆ ปัจจุบัน นางประนอมและลูกที่เหลืออีก 2 คนไม่ได้มีหุ้นในบริษัทเหลืออยู่เลย และหุ้นของพ่อที่เสียชีวิต ก็ไม่ได้ตกมาที่นางประนอมและลูกอีกสองคนเลยเช่นกัน
ซึ่งจากคลิปนางประนอมอ้างว่า เพราะรักและไว้ใจลูกสาวคนโตมากที่สุด จึงถูกลูกสาวคนโตหลอกให้เซ็นเอกสาร และลูกสาวคนโตยังมีการปลอมแปลงเอกสารเพื่อฮุบสมบัติอีกด้วย
สำหรับเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็คงต้องตามกันต่อไป
--------------
แต่สำหรับความเห็นของผมนะ ถ้าทรัพย์สินเดิมเป็นของพ่อแม่ แม้ในฐานะลูกจะบริหารกิจการจนเติบโต ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของลูกที่ดีอยู่แล้ว ที่ต้องช่วยเหลือกิจการของพ่อแม่
แล้วถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่สั่งให้ลูกต้องคืนทรัพย์สินกลับมาให้พ่อแม่ คนเป็นลูกก็ต้องคืนให้พ่อแม่โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ถ้าปล่อยให้เป็นคดีความจนถึงขั้นที่พ่อแม่ต้องฟ้องร้องลูก เพื่อทวงทรัพย์สินคืนจากลูกนะ
สำหรับ คห.ผมนะ ถือว่าเป็นความผิดของลูกเท่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงเคยเปรียบเทียบว่า ต่อให้ลูกต้องแบกพ่อแม่ไว้บนบ่าทั้งสองข้างของลูกไปตลอดชีวิต เลี้ยงดูท่านให้กินนอนขับถ่ายบนบ่าของลูกไปตลอดชีวิต ก็ยังไม่สามารถทดแทนพระคุณพ่อแม่ได้หมด (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๒๗๘ คลิกอ่าน)
นั่นแสดงว่า พระคุณของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นมากล้นและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับทรัพย์สินของพ่อแม่ ลูกจะคืนให้พ่อแม่ทั้งหมดไม่ได้
ซึ่งในความเป็นจริง แม่ประนอมขอคืนเฉพาะทรัพย์สินที่เธอเคยถือครองก่อนหน้านี้เท่านั้น เช่น ที่ดินและทรัพย์สินของสามีแม่ประนอม หุ้นบริษัทในส่วนของสามีแม่ประนอมเคยถืออยู่ เป็นต้น แถมแม่ประนอมยังพร้อมให้อภัยลูกสาวคนโตอีกด้วย ถ้าทำตามที่แม่ประนอมร้องขอ
(โดยหลักกฎหมายทั่ว ๆ ไป พ่อแม่สามารถทวงคืนทรัพย์สินที่มอบให้ลูกไปแล้วกลับคืนมาได้ แต่คดีนี้คงต้องดูต่อไปว่าเป็นอย่างไรแน่)
รูปประชาชาติธุรกิจ
แล้วการที่ลูกปล่อยให้แม่ต้องอับอายต่อสังคม ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน แม่ต้องร้องไห้ออกสื่อซึ่งเหมือนประจานตัวเอง จากเดิมที่แม่เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ต้องออกมาเป็นที่น่าสงสารต่อสังคมแบบนี้
ถ้าแม่ประนอมไม่เหลืออดจนทนต่อไปไม่ไหว ก็คงไม่กล้าออกมาให้เป็นที่อับอายต่อสาธารณชนแบบนี้หรอก เธอคงหมดความอดทน คงเหลืออดแล้วจริง ๆ
ผมสรุปได้เลยว่า ลูกได้กระทำการอกตัญญูต่อพ่อแม่แล้ว บาปเหลือเกินที่ทำให้แม่เสียใจหนักขนาดนี้ (ตามรูป)
รูปเดลินิวส์
วิธีเดียวที่ลูกจะพ้นความอกตัญญูได้ ก็คือ ทำตามคำสั่งของแม่ทุกอย่าง อย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะคำสั่งของพ่อแม่ (คำสั่งที่ไม่ขัดหลักศีลธรรม) คือ พรอันประเสริฐของลูก ที่ลูกควรปฏิบัติตาม
มิเช่นนั้น จะตรงกับสำนวนไทยที่ว่า แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร
แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร หมายถึง การที่ลูกพยายามเอาชนะคะคานกับพ่อแม่ ก็เสี่ยงที่ลูกจะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมต่อบุพการี ซึ่งหมายถึง ลูกจะเป็นมาร
แต่ถ้าลูกยอมแพ้ต่อพ่อแม่ ก็เปรียบเสมือนลูกเป็นพระ ที่พร้อมยอมเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่โดยดี ก็เท่ากับลูกจะได้สร้างบุญกุศลต่อบุพการีด้วย
------------------
กรณีลูกสาวฮุบกิจการน้ำพริกไทยตราแม่ประนอมจากแม่ประนอม นั้น
ผมขอว่า อย่ามองเป็นเรื่องสีเสื้อเลยครับ ส่วนพวกเขาจะเป็นเสื้อแดงจริงหรือไม่ ขอให้พักไว้ก่อน
ขอให้มองว่า ถ้าลูกอกตัญญูพ่อแม่ เราต้องร่วมกันตีแผ่เพื่อช่วยทวงคืนความเป็นธรรมให้คนเป็นบุพการี เพื่อเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายและทางสังคม
เพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับใครก็ได้
ก่อนจบ ผมได้ไปเจอ คห.ของคน ๆ นึง ผมได้เขียนชื่นชมเขา เพราะเขาได้เขียนว่า
"อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย ต่อให้ชีวิตของเขา เขาก็มอบให้พ่อแม่ได้"
คุณผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรไหม
----------
ขอเพิ่มเติมหลังจากมีการปล่ยยข่าวทำลายแม่ประนอม
ตามหลักกฎหมายถ้าสามีตาย ทรัพย์สินของสามีก็ต้องเป็นของเมียและลูก
แต่สามีแม่ประนอมตาย ทรัพย์สินของสามีไม่มาอยู่ที่แม่ประนอมเลย
ซึ่งต่อให้ทรัพย์สินส่วนนี้แม่ประนอมจะเอาไปเผาทิ้ง ก็ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแม่ประนอม
ไม่ใช่ปลอมเอกสาร หรือใช้กลลวงหลอกทรัพย์ไปจากแม่ประนอม แล้วอ้างเหตุผลอะไรก็ตามมาแก้ตัว ซึ่งน่าจะเป็นปล่อยข่าวทำลายแม่มากกว่า เพราะถ้าขนาดโกงแม่บังเกิดเกล้าได้ มันก็กล้าทำเลวอย่างอื่นได้ทั้งนั้น
สรุป ลูกเนรคุณ ชัวร์
ใครไม่ได้ดูคลิปที่แม่ประนอมพูด ไปดูให้จบ คลิปคือหลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันในชั้นศาลได้
ไม่ใช่โง่เชื่อข่าวลือหรือนิทานที่ใครบางคนแม่งแต่งขี้น
----------------------
อัพเดทข่าว
หลังแม่ประนอมเจรจากับลูกสาวคนโต โดยมี มล.ปนัดดา เป็นคนกลางแล้วก็ตาม
แต่แม่ประนอมก็ยังไม่ถอนฟ้องคดีปลอมแปลงเอกสาร จนกว่าลูกสาวจะคืนทรัพย์สินก่อน ตามข่าวนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 เม.ย.59 นายพิสิทธิ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนายความแม่ประนอม กล่าวว่า เมื่อวานแม่ประนอม และนางศิริพร ลูกสาวคนโต ได้ตกลงและปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องการถอนฟ้องคดีนั้น ยังไม่สามารถทำได้ จนกว่านางศิริพร จะคืนทรัพย์สิน ซึ่งมีทั้งหุ้นบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม , ที่ดินเขาใหญ่ และหมู่บ้านเศรษฐกิจ ย่านหนองแขม ซึ่ง 3 อย่างนี้เป็นสิ่งที่แม่ประนอมรัก และหวงแหนมาก
ถ้าหากนางศิริพร คืนทรัพย์สินเหล่านี้ทั้งหมด ก็จะดำเนินการถอนฟ้องทันที เนื่องจากขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยาก
แต่แม่ประนอม มีความกังวลว่า นางศิริพร จะไม่ยอมโอนให้ หรือบ่ายเบี่ยง เนื่องจากวันที่เจรจาตกลงกันเป็นการพูดด้วยวาจา ไม่มีข้อกฎหมายผูกมัด
"ผมรู้จักกับแม่ประนอมมานาน คุยกันถึงเรื่องนี้ตลอด ซึ่งแม่ประนอม เป็นห่วงธุรกิจที่ตัวเองสร้างมากับมือ แม้ว่า ตอนนี้ธุรกิจดังกล่าว ลูกจะเป็นคนบริหารงานก็ตาม ยอมรับว่ายอดจำหน่ายน้ำพริกเผาแม่ประนอม ลดลงชัดเจนในช่วงที่มีข่าวฟ้องร้องกันกับลูกสาว โดยเฉพาะในต่างจังหวัดลดลงเยอะ ส่วนใน กทม.ก็มีบางร้านปฏิเสธที่ได้รับสินค้าของแม่ประนอม แต่หากปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อไป เกรงว่าธุรกิจจะเสียหาย" ทนายแม่ประนอม กล่าว
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378496855/
คลิกอ่าน กรณีตัวอย่างพี่สาวที่แสนเลว
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559
อย่าบำรุงพระจนเกินความพอดีของการเป็นภิกษุ
การบวชเป็นพระนั้น เจตนาหลัก ๆ คือ ศึกษาพระธรรมคำสอน และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้ได้
(ส่วนจะได้สำเร็จเป็นพระอริยะหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่บุคคลไป)
ถ้าทำไม่ได้ตามเหตุผลข้างต้น ก็ไม่สมควรอยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป
แต่ในยุคปัจจุบัน ฆราวาสผู้หลงผิดมักมีความเชื่อที่ผิดไปจากเจตนาของพระพุทธเจ้า นั่นก็คือ ฆราวาสมักบำรุงบำเรอภิกษุจนเกินความพอดี บำรุงบำเรอมากเกินไป
จนภิกษุไม่สามารถดำรงตนอยู่อย่างพอเพียงและสมถะ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า ที่กำหนดให้ภิกษุซึ่งแปลว่า ผู้ขอ จะต้องดำรงตนอย่างสมถะมักน้อย กินน้อย อยู่ง่าย อย่างพอดี แต่ปฏิบัติธรรมให้มาก ที่เรียกว่า ความเพียรในธรรม (การกินมากไป ทำให้เกิดถีนมีนธะหรือการง่วงเหงาหาวนอน)
สิ่งที่ทำให้ฆราวาสเกิดความหลงผิดนั้น ตั้งอยู่บนความเชื่อพื้นฐานที่ว่า การได้ถวายสิ่งอันประณีตแก่ภิกษุผู้ทรงศีลแล้วจะยิ่งได้บุญมาก
เพราะการที่เราจะมอบหรือถวายอะไรให้แก่ภิกษุ เราก็จะต้องถวายให้ด้วยความประณีต เพื่อให้ภิกษุผู้เจริญในธรรมได้มีความสะดวกสบายไม่เดือดร้อน จะได้ไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไป
แต่ด้วยความเชื่อและคำสอนเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้เกิดเป็นช่องว่างให้พวกอลัชชี และภิกษุที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส ได้นำมาใช้ล่อหลอกฆราวาสให้ทำบุญเยอะ ๆ ทำบุญด้วยของดีเลิศเพื่อจะได้บุญเยอะ ๆ มาบริจาคถวายปรนเปรอตน
ส่วนฆราวาสก็หวังจะได้บุญมาก ๆ จึงได้ทำบุญบนพื้นฐานที่เต็มไปด้วยกิเลส เฉกเช่น การลงทุนที่หวังผลกำไรสูง ๆ
ทั้ง ๆ ที่ การบริจาค และการทำบุญนั้น เจตนาที่แท้จริงก็เพื่อลดละความโลภในใจตนเองต่างหาก และเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไปได้
แต่เพราะคำว่า บุญ นี่แหละ ที่ทำให้ฆราวาสเกิดความหลงผิด ทำบุญให้ภิกษุ จนกลายเป็นบำรุงบำเรอเกินกว่าที่เพศบรรพชิตพึงจะได้พึงจะมี
การทำบุญผิด ๆ จนกลายเป็นความปรนเปรอภิกษุจนเกินความพอดีนั้น ผมว่า ยิ่งจะมีบาปแก่ผู้มอบด้วย เพราะทำให้ภิกษุสุขสบายเกินความพอดี ซึ่งจะเป็นเหตุให้ห่างไกลความเพียรในธรรม และยิ่งห่างไกลคำว่า ลดกิเลส เพราะความสบายจะนำพาให้ภิกษุหลงติดในความสะดวกสบาย และยากที่จะลดกิเลสลง
จนบางทีความหลงในกิเลสของภิกษุอาจเลยเถิด จนเสียความเป็นสงฆ์ไปในที่สุด
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่า ฆราวาสช่วยบำรุงกิเลสให้ภิกษุมากยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นก่ออกุศลกรรมจากความโง่ของตนที่ไม่ศึกษาคำว่า บุญ ให้เข้าใจถูกต้อง
ซึ่งการปรนเปรอพระจนเกินความพอดี ก็ทำให้เกิดพวกอลัชชีแฝงเข้ามาหากินในผ้าเหลืองมากมาย จนกลายเป็นอาชีพที่สบายที่สุด
ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นภิกษุ ไม่ใช่อาชีพ
ถ้าพวกใช้ผ้าเหลืองเป็นอาชีพหากิน พวกนั้นคือ พวกอลัชชี และพวกสมี ทั้งนั้น
เพราะการบวชพระ ไม่ใช่เพื่อความสุขสบาย แต่บวชเพื่อฝึกตนให้ลดละกิเลสตัณหาลง
แม้จะไม่ต้องให้ภิกษุต้องฝึกตนถึงขั้นลำบาก(ตามหลักทางสายกลาง) แต่ก็ต้องไม่สบายจนเกินความพอดี
ตัวอย่างเช่น ภิกษุนอนห้องแอร์ เหมาะสมหรือไม่ ?
คำตอบคือ ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ถึงกับผิด
เช่น ถ้าถามว่า การนอนห้องแอร์นอนไปเพื่ออะไร ?
ถ้าเป็นฆราวาสก็คงตอบว่า เพื่อความสุขสบายในการนอน
แต่ภิกษุบวชเข้ามาเพื่อความเพียรในธรรมและฝึกตน จึงไม่ควรเห็นแก่ความสะดวกสบายจนเกินไป
โดยเฉพาะเรื่อง การกิน การอยู่ และการนอน ภิกษุไม่ควรสบายเกินกว่าพระบรมศาสดาจนเกินไป
เพราะในโลกปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่เจริญขึ้น ภิกษุก็สะดวกสบายกว่ายุคของพระบรมศาสดาอยู่มากแล้ว
ฉะนั้น อะไรที่จะไม่สะดวกสบายบ้าง เช่น การกิน การนอน ก็อย่าให้มันสบายจนเกินไป อย่าให้มันสบายจนเกินวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้า แต่ให้ถือเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง
แน่นอน คงไม่ถึงกับให้ภิกษุต้องกลับไปลำบากเหมือนเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีที่ผ่านมา
แต่อย่างน้อย เช่น การกิน การอยู่และการนอน ก็อย่าให้สะดวกสบายจนเกินเหตุเลย เพราะยิ่งสบายมาก ก็ยิ่งย่อหย่อนในความเพียรมาก
ถ้าจะมีพัดลมสักตัวเพื่อช่วยคลายร้อนสำหรับภิกษุในห้องพักบนกุฏิบ้าง ก็ถือว่า หรูกว่าสมัยพุทธกาลมากแล้ว ซึ่งก็พออนุโลมได้ จะได้ไม่ร้อนไม่ลำบากจนเกินไป
แล้วภิกษุนั้นดำรงอยู่ได้เพราะการเป็น ผู้ขอ อยู่ได้เพราะชาวบ้านบริจาคถวายให้ จึงไม่ควรทำตัวให้รวยกว่าชาวบ้านจนเกินงาม
เช่น ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังนอนห้องธรรมดาไม่มีแอร์ได้ แต่ภิกษุผู้ซึ่งต้องฝึกฝนตน กลับอยู่สะดวกสบายกว่าชาวบ้าน มันน่าละอายใจไหมนะ
แต่ความจริงแล้ว ฆราวาสเองนั่นแหละ ที่ไม่ศึกษาแก่นแท้ของการทำบุญที่ดีพอ จึงหลงผิดบำรุงบำเรอพระจนกลายเป็นเศรษฐีในผ้าเหลืองไปแล้ว
"เป็นพระต้องจน" สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงเคยสอนไว้
คลิกอ่าน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงอยู่อย่างจน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)