พอดีเมื่อ 2 วันก่อน ผมเจอแชร์ไลน์ในกลุ่มเพื่อนของผม โจมตี
หลักสูตรเข็มทิศชีวิตของ
ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ด้วยประโยคที่ว่า
"#มาแรงแซงธรรมกาย เรียนธรรมะ ที่ต้องจ่ายเงินคอร์สละหลายๆ หมื่น #ธุรกิจสะกดจิตคนรวย ไม่รวยไม่มีเงินอย่าได้หวังจะเข้าถึงหลักธรรม พระพุทธศาสนาสอนให้ ลด ละ เลิก แต่นี่สอน ให้ สะสมความรวย รวย และ รวย สะสมกิเลส แบบเดียวกับสำนักจานบิน ไม่ต้องแอบอ้างพระพุทธศาสนาอีกต่อไปครับ ประกาศตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิ #เข็มทิศชีวิต เลยครับ สนับสนุนเต็มที่...."
พร้อมทั้งลงรูปกิจกรรมเข็มทิศภาวนา (
ซึ่งเป็นการบิดเบือนอย่างหนึ่ง แนะนำอ่านบทความเรื่อง การโจมตีเข็มทิศภาวนาแบบไม่ยุติธรรม) รวมถึงลงรูปบ้านของ
ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ว่าบ้านของครูอ้อยมีความเป็นอยู่หรูหรา ร่ำรวยมาก ๆ ซึ่งผมไม่ขอลงรูปบ้านครูอ้อย เพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะอธิบายในบทความนี้
ในไลน์เพื่อน ผมถึงกับร่ายยาวให้เพื่อน ๆ ในไลน์ของผมฟังว่า
ไอ้คนที่โจมตีครูอ้อย ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกล้มเจ้าที่โจมตีหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 เพียงแต่ใช้หลักที่ตรงกันข้ามกันในการโจมตี
-------------------
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนเลยว่า
ผมไม่รู้จักครูอ้อย ฐิตินาถ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเจอตัวจริง ไม่เคยพูดคุยกัน และไม่เคยลงเรียนคอร์สเข็มทิศชีวิตราคา
25,000 บาทของครูอ้อยด้วย
แต่ที่ผมอยากจะอธิบายก็คือ
หลักของพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้คนเราหรือฆราวาสอย่างเรา ๆ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากจนนะครับ
ขอย้ำว่า หลักพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้คนเราต้องอยู่ยากจน หรือทำตัวยากจน ตามที่มีผู้ไม่หวังดีต่อพุทธศาสนา พยายามหาเหตุโจมตีหรือทำตีเนียนยกคำสอนพุทธศาสนามาอ้างแบบผิด ๆ แต่แฝงด้วยเจตนาร้าย
เพราะเดี๋ยวนี้มันจะมี
พวกมารศาสนาที่ชอบโจมตีศาสนาพุทธว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนละความโลภ ละกิเลส และต้องทำตัวอยู่อย่างยากจน
ซึ่งนี่คือการบิดเบือนคำสอนของศาสนาพุทธโดยแท้ พวกนี้มักกล่าวหาว่า
คำสอนศาสนาพุทธขัดกับหลักความเจริญรุ่งเรืองของโลก เป็นต้น
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่พวกล้มเจ้าที่ชอบกล่าวหาว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงคือการสอนให้คนไทยต้องอยู่อย่างยากจนทำนองนั้น ซึ่งพวกล้มเจ้าและพวกมารศาสนามันมั่วมาก ๆ
ก่อนอื่นเราต้องรู้และแยกแยะให้เป็นเสียก่อนว่า ศาสนาพุทธของเรา มีคำสอนเกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตของฆราวาส และหลักประพฤติปฏิบัติของภิกษุ ซึ่งมีส่วนที่แตกต่างกัน
เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่อย่างมักน้อยหรืออยู่อย่างยากจนนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักนี้เฉพาะกับพระภิกษุ ภิกษุณี รวมถึงสามเณร เท่านั้น ส่วนฆราวาสชาวพุทธอยากจะร่ำรวยก็ย่อมได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงห้าม
แน่นอนคนเราควรละลดกิเลสให้น้อยลง หรือควบคุมกิเลสมันให้ไม่เกิดปัญหาหนักอึ้ง แต่คนเราก็ยังสามารถร่ำรวยได้
พระพุทธเจ้าทรงไม่เคยห้ามให้ฆราวาสร่ำรวย แถมยังทรงสอนหลักการทำมาหากินที่จะนำมาซึ่ง
ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตด้วยนั่นคือ
หลักสัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพชอบ นั่นเอง
หรืออย่างเช่น
หลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 ก็นำมาจากหลักทางสายกลางของพุทธศาสนา นำมาแยกย่อยให้พวกเราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียงเช่น
"คิดทำให้พอกินก่อน พอเหลือแล้วค่อยแบ่งปัน (ทำทาน) พอเหลือจากแบ่งปันแล้วค่อยขาย" ซึ่งถ้าใครก็ตามที่นำหลักคิดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงนี้มาใช้ คุณก็จะร่ำรวยขึ้นมาเองโดยที่คุณไม่ต้องโลภมากอะไรเลย
เฉกเช่น
หลักของความรักในศาสนาคริสต์ ที่สอนว่า
"จงรักผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข จงรักโดยไม่หวังผลตอบแทน" ซึ่งหากใครที่สามารถให้ความรักแก่ใครก็ตามโดยไม่ต้องหวังผลตอบแทนได้เมื่อไหร่ คุณก็กลับจะได้รับความรักที่แท้จริงตอบแทนกลับมาเอง
โดยที่คุณเองก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ความรักตอบแทนด้วยซ้ำ
หลักคิดอะไรพวกนี้ ถ้าในยุคสมัยใหม่ เขานำเรียกกันใหม่ว่า
กฎแห่งจักรวาล กฎแห่งแรงดึงดูด และกฎแห่งพลังคิดบวก ที่พวกฝรั่งก็นำใช้สอนกัน ซึ่งแท้จริงแล้วกฎพวกนี้มันมีอยู่ในหลักของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกัน
ทั้ง ๆ ที่กฎทั้งหลายต่าง ๆ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าของเราทรงสอนไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งครูอ้อยก็นำหลักและกฎพวกนี้มาอธิบายในเชิงวิถีพุทธในบางคลิป
ย้ำว่า มีในบางคลิปเท่านั้น
ตัวอย่าง คลิปสอนฟรีของครูอ้อยบนยูทูป ซึ่งมีคลิปให้ดูฟรีเยอะมากโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท คลิปแค่ 4 นาที ลองดูเป็นตัวอย่างครับ
(การร่ำรวยโดยไม่โลภมาก นั้นทำได้แน่นอน แต่มันต้องใช้หลักคิดแบบยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งมียิ่งได้ เป็นต้น ซึ่งตรงกับกฎของแรงดึงดูด ซึ่งผมคงไม่ลงในรายละเอียดนะ)
--------------------
ผมรู้จักชื่อเสียง
ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ครั้งแรกเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เมื่อครูอ้อย มาออก
รายการเจาะใจ
ครูอ้อยมาเล่าชีวิตของตัวเองว่า สามีของครูอ้อยได้เสียชีวิต แล้วทิ้งหนี้สินกว่าร้อยล้านบาทไว้ให้เธอชดใช้
ซึ่งครูอ้อยได้เล่าว่า ครูใช้หลักคิดในพุทธศาสนานี่แหละ ใช้แก้ปัญหาชีวิตและแก้ปัญหาหนี้สินของตัวเองได้จนหมด
(ดูรูปประกอบเรื่องนี้ท้ายบทความ)
แล้วครูอ้อยซึ่งเคยทำมาหากินเกี่ยวกับขายเพชรและอัญมณี ก็สามารถหาเงินจนได้ประมาณ
100 ล้านบาท (เท่าที่ผมจำได้นะจากรายการเจาะใจในอดีต) รวยมากพอที่จะไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้วตลอดชีวิต ครูอ้อยก็เลิกทำอาชีพค้าเพชร เพื่อออกมาสอนผู้คน
โดยในรายการเจาะใจเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ครูอ้อย เล่าว่า ตัวเองเสียเงินไปเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิตและจิตวิทยาจากต่างประเทศเป็นจำนวนหลายล้านบาท แล้วจึงกลับมาสอนคนในหลักสูตรการพัฒนาชีวิต
ซึ่งในระยะแรก ครูอ้อย เล่าว่า จะเดินสายพูดอยู่ 2 แบบคือ
ถ้าพูดเรื่องธรรมะจะเดินสายพูดฟรี
สอนฟรี
แต่ถ้าอบรมเรื่องหลักสูตรจิตวิทยาพัฒนาคนและพัฒนาองค์กร
พูดแบบนี้จะได้เงินค่าสอน
ซึ่งต่อมา
(ผมคิดเอาเองนะว่า) อาจด้วยเหตุผลทางธุรกิจและความสะดวกในการเรียนในสถานที่ดี ๆ เช่นในโรงแรมใหญ่ ๆ ครูอ้อยจึงได้จัดสร้างหลักสูตรเข็มทิศชีวิตขึ้นมา ซึ่งมันก็แค่หลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิตเหมือนที่พวกฝรั่งหรือใคร ๆ เขาเปิดหลักสูตรทำนองนี้มากมายนั่นแหละ ราคาก็แพง ๆใกล้ ๆ กัน
ครูอ้อย ก็แค่เปิดหลักสูตรสอนการพัฒนาชีวิตของคน ไม่ใช่มาขอเรี่ยไรให้คนมาทำบุญ หรือสอนคนให้เอาเงินมาให้ครูอ้อยแล้วคุณจะร่ำรวย เหมือน
พวกสมีห่มเหลืองและพวกเหลือบในพุทธศาสนาใช้หลอกผู้คนมาทำบุญซื้อวิมานบนสวรรค์ทำนองนั้น
อย่างผม
ใหม่เมืองเอก ก็ติดตามเพจเข็มทิศชีวิต ของครูอ้อย รวมทั้งติดตามเพจของ
คุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยากรระดับโลกที่หันมาสอนหลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิต และผมยังติดตามอีกหลาย ๆ เพจที่สอนทำนองเดียวกันนี้ ผมติดตามอ่านทุกวัน
อ่านฟรี เรียนรู้ฟรี ในยูทูปและในเฟสบุ๊คแฟนเพจ
แถม
หนังสือเข็มทิศชีวิตที่ขายดีของครูอ้อย
ผมก็ไม่เคยซื้ออ่าน เพราะครูอ้อยอ่านให้ฟังเป็นหนังสือเสียงฟรี ๆ ในยูทูป
ที่ครูอ้อยร่ำรวยตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่รวยมาก่อนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะรวยขึ้นจะเพราะหลักสูตรเข็มทิศชีวิตหรือไม่ก็ตาม ถามว่า
แล้วมันผิดตรงไหนเหรอ ? อย่าลืมว่าครูอ้อยเธอเป็นฆราวาสนะครับ เธอไม่ใช่พระ ทีมงานของเธอก็ต้องมีรายได้มีเงินเดือนไว้เลี้ยงชีพ
ซึ่งโดยเนื้อหาหลัก ๆ ส่วนใหญ่ของหลักสูตรเข็มทิศชีวิต เท่าที่ผมติดตามอ่านฟรี ก็มีการอ้างเนื้อหาในพุทธศาสนาบ้างเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
เพียงแต่วิถีของครูอ้อยเป็นชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมบ่อย ไอ้คนที่ไม่หวังดีจึงพยายามจับมาโยงว่า เอาพุทธศาสนามาหากินจนร่ำรวย ซึ่งคนที่ไม่เคยศึกษารายละเอียดย่อมหลงเชื่อโดยง่าย
แต่เท่าที่ผมรู้จากการติดตามเพจ ครูอ้อยยังมีกิจการสร้างหมู่บ้านเข็มทิศไว้ขายเป็นอีกกิจการหนึ่งที่เป็นอาชีพเสริมในตอนนี้ของครูอ้อย
ตัวอย่าง
คลิปหนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 1 (ส่วนเล่มที่เหลือ ไปตามฟังได้ฟรีบนยูทูป)
ผมยังไม่เคยเสียเงินให้ครูอ้อยสักบาท และไม่สนใจจะไปลงคอร์สเรียนหลักสูตรเข็มทิศชีวิตราคา 25,000 บาทนั่นด้วย
แถมเวลาครูอ้อยไปทำบุญที่วัดใด ครูอ้อยก็จะส่งข่าวมาให้ลูกเพจร่วมอนุโมทนาบุญ โดยที่ผมยังไม่เคยเห็นครูอ้อยบอกบุญเรี่ยไรเงินจากลูกเพจบนเพจของครูอ้อยเลย นะ
ผมคิดว่า เขาคงบอกบุญกันในหมู่ลูกศิษย์ที่สนิทสนมกันเองเป็นการส่วนตัว ไม่เคยเห็นมาขอเรี่ยไรบริจาคจากลูกเพจเลย มีแต่ไปทำบุญแล้วก็มาบอกข่าวให้อนุโมทนาบุญร่วมกัน
ซึ่งผมมองว่า
หลักสูตรเข็มทิศชีวิต ก็เหมือนหลักสูตรฮาวทู หลักสูตรพัฒนาชีวิตตนเองแบบที่หลาย ๆ คนเปิดหลักสูตรอบรมสอน เช่น
คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ก็สอนหลักสูตรทำนองเดียวกันนี้
คุณบัณฑิต เอง ก็เคยสอนเคยพูดไว้ในบางคลิปว่า หลักในกฎแห่งแรงดึงดูด หลักในกฎแห่งจักรวาล พระพุทธเจ้าทรงเคยสอนมาแล้วทั้งนั้น
ซึ่งหลักสูตรพวกนี้ ใครใคร่เรียนก็เรียน ใครไม่อยากเรียน
ใครไม่อยากเสียเงินเรียน ก็หาอ่าน หาศึกษาเองในอินเตอร์เน็ตก็ได้มีเยอะแยะ ซึ่งผมก็ใช้วิธีเรียนฟรีนี้เหมือนกัน
-----------------
ผมเองติดตามเพจครูอ้อยมาหลายเดือนแล้ว ก็เข้าใจถึงแนวคิดของหลักสูตรครูอ้อยพอสมควร
ซึ่งนั่นก็คือ กฎแห่งการคิดบวก กฎแห่งแรงดึงดูด และกฎแห่งจักรวาล นั่นแหละ เพียงแต่ว่า ครูอ้อย สอนให้เห็นว่า
ความจริงกฎต่าง ๆ พวกนี้มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งนั้น
หรือกรณี
แก้ปมในอดีตในวัยเด็ก หลายคนก็รู้ว่าตัวเองรักพ่อแม่มาก แต่หลายคนก็กลับไม่รู้ตัวเองว่า
ตนเองมีปมด้อยที่ติดอยู่ตรงชอบกล่าวโทษพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว
หลักสูตรฮาวทูทั้งหลายเช่น หลักสูตรเข็มทิศชีวิต รวมทั้ง
หลักสูตรแลนด์มาร์คฟอรั่ม อันโด่งดังยาวนานในโลกและในประเทศไทย ก็ล้วนต่างช่วยสอนให้แก้ปมในอดีตในใจของลูก ๆ ที่เผลอกล่าวโทษพ่อแม่โดยไม่รู้ตัวเองทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น มีลูกบางคนยอมเชื่อฟังพ่อแม่ที่บังคับให้เรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ตัวเองไม่ชอบ ต่อมาพอเรียนจบ ตัวเองก็ทำงานในสายงานที่ตัวเองไม่ชอบ ทำงานอย่างไม่มีความสุข จนต้องเปลี่ยนงานหลายครั้ง เขาก็จะกล่าวโทษพ่อแม่มาตลอดชีวิตว่า เพราะพ่อแม่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องทำงานอย่างไม่มีความสุข
สิ่งเหล่านี้เท่ากับตัวเองโยนความผิดนี้ให้พ่อแม่แทน ผลที่ได้ก็คือ ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบในชีวิตตัวเอง เพราะกล่าวโทษพ่อแม่แทนไปแล้ว
แต่พอคน ๆ นั้น ได้แก้ปมในใจที่กล่าวโทษพ่อแม่ในเรื่องนี้ได้แล้ว เขากลับได้มุมมองใหม่ในชีวิต กลับไปเข้าใจบริบทของพ่อแม่ในอดีต และกลับไปรักพ่อแม่มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม แล้วผลต่อมาที่ได้ก็คือ เขากลับไปทำงานอย่างมีความสุข เริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต และมีความร่ำรวยตามมาเองในที่สุด
นั่นเพราะมุมมองในชีวิตเขาเปลี่ยนไป เขามองในมุมคิดบวกมากขึ้น รับรู้ความรักที่แท้จริงของพ่อแม่ จึงทำให้ชีวิตเขาจึงพลิกเปลี่ยนใหม่หมด ชีวิตดีขึ้นแบบมีปาฏิหาริย์ เป็นต้น
หลักจิตวิทยาที่ช่วยแก้ปมในอดีตในจิตใต้สำนึกของคนเรา หากใครแก้ไขปมในจิตใต้สำนึกนั้นได้ ก็จะเหมือนได้ชีวิตใหม่ ได้มุมมองใหม่ ซึ่งมันจะสามารถพลิกหรือเปลี่ยนชีวิตของตัวเองได้อย่างเหลือเชื่อ !! (ซึ่งบางคนก็เลือกแก้ปมแบบนี้ด้วยการไปเสียเงินเพื่อพบนักจิตวิทยา หรือพบจิตแพทย์ให้รักษาก็มี)
ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือพระเจ้าทรงดลบันดาลมาให้
แต่เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นเอง ซึ่งตรงกับหลักพุทธที่ว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นเอง
นี่แหละครับ หลักสูตรฮาวทูพัฒนาชีวิตตนเอง ที่หลาย ๆ โค้ชเขาสอน บทสรุปก็จะประมาณนี้
เพราะ
พลังแห่งพระเจ้าอยู่ในตัวเราเอง
---------------------
สรุป หลักสูตรเข็มทิศชีวิต สอนอะไร
ผมใหม่เมืองเอก กำลังจะสื่อสารให้คุณผู้อ่านของผมได้เข้าใจว่า
กฎแห่งจักรวาล กฎแห่งแรงดึงดูด กฎแห่งพลังคิดบวก หรือแม้แต่หลักวิทยาศาตร์ทางจิตที่ฝรั่งค้นพบคือ หลัก NLP ก็ล้วนแต่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วทั้งสิ้น
เช่น
หลักตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน หลักให้อภัยอดีต ปล่อยวางอดีต หลักกฎแห่งกรรม เช่น ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นผลแห่งการกระทำของเราในอดีต
หากเราอยากให้อนาคตดีขึ้นก็ต้องแก้ที่การกระทำในวันนี้ของเราให้ดีขึ้น เป็นต้น
" คิดดี ทำดี พูดดี มีสติอยู่กับปัจจุบัน ชีวิตย่อมดีขึ้น นั่นแหละคือ ปาฏิหาริย์ "
ทั้งหมดที่ว่ามา คือ หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น เพียงแต่โค้ชที่เปิดสอนหลักสูตรเหล่านี้ เขานำมาสอนให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ
อย่างกรณีหลักสูตรของครูอ้อย เท่าที่ผมตาม
อ่านฟรี ตามดู
คลิปฟรี ๆ ผมพอสรุปได้ว่า
หลักเข็มทิศชีวิต ก็คือ
หลักยิ่งมียิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งได้รับ ยิ่งรู้สึกเปี่ยมรักยิ่งได้ความรักมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจักรวาลจะส่งโจทย์อะไรมาให้เรา เราต้องใช้ด้านดีและพลังคิดบวกรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ เสมอ แล้วสุดท้ายชีวิตของเราจะดีขึ้น
ส่วนประเด็นอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เช่น
ประเด็นความขัดแย้งของครูอ้อยกับใคร ๆ ก็ตามนั้น ผมไม่รู้เรื่องและไม่คิดจะสนใจ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
และเพราะมันไม่ใช่เนื้อหาที่ผมจะต้องมาอธิบายใด ๆ ในเชิงคำสอนพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับความร่ำรวยและหลักสูตรการพัฒนาชีวิตตนเอง
คุณลองไปดูคำสอนของครูอ้อย
ไปเรียนรู้แบบฟรี ๆ ให้ชัดเจนเสียก่อน คุณไม่ต้องมาเชื่อที่ผมเขียน คุณลองไปดูไปศึกษา
แล้วถ้าคุณคิดว่า คำสอนของครูอ้อยไม่ดีตรงไหน เรามาถกกันได้ครับ
หลักสูตรครูอ้อยเรียนฟรีก็มีครับ ปีนึงครูอ้อย จะมีเปิดให้ประชาชนทั่วไปเรียนฟรี ที่เรียกว่า
"หลักสูตรเข็มทิศภาวนา" โดยพวกลูกศิษย์ของครูอ้อยที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะร่วมกันทำบุญเป็นสปอนเซอร์ให้กิจกรรมนี้
ซึ่งผมก็ไม่เคยไปเรียนเช่นกัน เพราะแค่เรียนฟรีตามอินเตอร์เน็ต ผมก็ว่า ได้เยอะมากแล้ว
ผมยืนยันว่า
คุณไม่ต้องไปเสียเงินเรียนแพงๆ หรอกครับ หาเรียนฟรี ๆ ในหลาย ๆ เพจก็เยอะถมไปแล้ว
ทางเลือกเรียนฟรี ๆ ก็มี ใครไม่อยากเสียเงินเรียนคอร์สแพง ๆ ก็ไม่ต้องไปเรียนครับ นี่คือคำแนะนำของผม
ซึ่งถ้าให้ผมแนะนำ
เพจที่ยอดเยี่ยมที่สุดตอนนี้ที่ผมศรัทธามาก คือ
เพจของคุณดังตฤณ เพจนี้สอนธรรมะเข้าใจง่ายและลึกซึ้งอย่างมาก และไม่มีคอร์สให้ต้องเสียเงินเรียนแต่อย่างใด พร้อมมีคลิปให้ศึกษาฟรีเช่นกันบนยูทูป แค่ลองพิมพ์คำว่า
"ดังตฤณ" บนกูเกิลและบนยูทูป แล้วคุณจะพบสุดยอดฆราวาสที่สอนธรรมะได้ยอดเยี่ยมสุด ๆ
--------------
สรุปท้ายบทความ
ผมไม่เห็นด้วยกับการที่ใครเอาหลักคำสอนพระพุทธศาสนามาใช้แบบผิด ๆ เช่น คำสอนที่ว่า ลด ละ เลิกกิเลส แล้วมา
พูดมั่ว ๆ ว่า
ใครที่สอนให้คนร่ำรวย แสดงว่า ไม่ใช่หลักของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา เราเน้นที่
ความไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นให้เดิอดร้อน หากคุณทำได้ตามนี้ใน
สัมมาอาชีพของคุณ คุณซื่อสัตย์ คุณสุจริต คุณเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ค้าขายเอากำไรอย่างพอเพียง มีเมตตากรุณาต่อลูกค้า ถ้าคุณทำได้เช่นนี้
ความร่ำรวยจะมาหาคุณเองโดยที่คุณไม่ต้องมีความโลภมากอะไรเลย
ไอ้พวกที่บอกว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนเราต้องอยู่ยากจน ห้ามร่ำรวย ความร่ำรวยเป็นกิเลส ต้องละ ต้องลด ไอ้พวกนี้แหละคือพวกบ่อนทำลายพุทธศาสนาโดยแท้ครับ
หลักการดำเนินชีวิตของฆราวาสชาวพุทธสามารถร่ำรวยได้โว้ย ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างยากจนแบบพระสงฆ์ โปรดเข้าใจไว้ด้วย
หัดแยกแยะซะบ้างว่า หลักปฏิบัติของพระกับหลักดำเนินชีวิตของฆราวาสมีความแตกต่างกัน
ไอ้คนที่โจมตีครูอ้อย มันหยิบแต่เปลือกมาโจมตี หยิบเอาภาพบางอย่างมาให้คนที่ไม่เคยอ่าน ให้คนที่ไม่เคยศึกษาหลักสูตรที่ครูอ้อยสอนมาโจมตี
ซึ่งคนไทยยุคนี้พอเห็นอะไรที่แชร์มาในไลน์
รู้แค่สั้น ๆ ผิวเผิน ก็เลือกที่จะเชื่อโดยที่ไม่ศึกษาวิเคราะห์หาเหตุผลที่แท้จริงเสียก่อนอยู่แล้ว
นี่แหละสันดานการเล่นเน็ตของคนไทยที่ห่วยแตกที่สุดในโลก พร้อมกับสถิติเล่นเฟสบุ๊คเล่นไลน์สูงที่สุดในโลก
แต่ความโง่และการหลงเชื่อข้อมูลมั่ว ๆ แล้วแชร์ต่อของคนไทยก็สูงที่สุดในโลกเช่นกัน
กรณีครูอ้อย ไม่มีความเหมือนกรณี
อีทัมมี่ของวัดจานบินเลย
เพราะที่ครูอ้อยสอนคือสอนให้รวยจากการดำเนินชีวิตที่ดีเยี่ยมและวิธีคิดที่ถูกต้องแล้วจะร่ำรวยขึ้นได้เอง ไม่ใช่สอนให้คนเอาเงินมาทำบุญที่วัดเยอะ ๆ หรือมาทำบุญกับครูอ้อยเยอะ ๆ แล้วจะยิ่งรวยแล้วจะมีวิมานบนสวรรค์รออยู่แบบที่วัดจานบินมันสอน
คุณผู้อ่านอย่าหลงเป็นเหยื่อไอ้พวกมารศาสนาที่แอบอ้างยกคำสอนเรื่องละโลภ ละกิเลส แต่มาใช้ในทางผิด ๆ ล่ะครับ
พวกมารศาสนาพวกนี้มันแฝงทำลายศาสนาพุทธทางอ้อม ทำนองว่า หลักศาสนาพุทธขัดกับความเจริญของโลก
บทความนี้ของผมที่ผมเขียนเอง จึงขอจบลงเพียงเท่านี้
แต่ที่อยากจะแนะนำให้อ่านต่อไปคือ เรื่อง "พระพุทธเจ้าสอนให้ร่ำรวย" ครับ ตามลิงค์ด้านล่างนี้
คลิกอ่าน พระพุทธเจ้าสอนให้รวย
คลิกอ่าน การโจมตีเข็มทิศชีวิตแบบไม่ยุติธรรม