วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

ความโง่ของคลิปนักเรียนต่อต้านเรียนประวัติศาสตร์ไทย







พอดีเพิ่งเห็นข่าว มีนักเรียนอัดคลิปต่อต้านการเรียนประวัติศาสตร์ที่สอนให้คนไทยเกลียดชังชาติเพื่อนบ้าน




ผมว่า นักเรียนคนนี้มั่วครับ ไม่เคยมีหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทยเล่มไหนสอนให้คนไทยเกลียดชาติเพื่อนบ้านเลยครับ

แน่จริงบอกมาสิว่า มีเล่มไหน ประโยคไหน ที่สอนให้คนไทยเกลียดชาติเพื่อนบ้าน ??

การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร ?

ก็คือ สอนในสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ได้ลงความเห็นแล้วว่า สิ่งใดคือความถูกต้องมากที่สุด

ไม่ใช่เรียนประวัติศาสตร์ก็ห้ามพูดถึงประเทศนั้นประเทศนี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ไปเกลียดประเทศนั้นประเทศนี้ หรือเกรงว่าประเทศนั้นประเทศนี้จะโกรธ

ไม่มีหรอกครับ ที่หนังสือประวัติศาสตร์ไทยจะสอนให้ไปเกลียดใคร มีแต่สอนความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

อย่างเช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเพราะนาซีเยอรมัน จะให้ไปสอนว่า เกิดจากฮิตเลอร์ และนาซีเท่านั้น โดยไม่อ้างถึงประเทศเยอรมันเลย มันก็คงไม่ถูกต้อง

หรืออย่าง ประเทศญี่ปุ่นก็ก่อสงครามมหาเอเซียบูรพา จะพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเซียโดยไม่เอ่ยถึงญี่ปุ่นเลยได้หรือไม่ ?

ก็คงไม่ได้ เพราะความจริงก็คือความจริง  ไม่มีหรอกครับ ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันหรอกครับ

เช่น หากประเทศญี่ปุ่นเคยไปสร้างความเสียหายและความเลวร้ายที่ใดจริง ๆ  การเรียนประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องก็ต้องไม่ละเลยที่จะเอ่ยถึง

นักประวัติศาสตร์ที่ดีเขาจะเรียนรู้ความจริงในอดีต โดยต้องไม่มีอคติกับประวัติศาสตร์ จึงจะทำให้การศึกษาและค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์ถูกต้องแม่นยำขึ้น

เพราะมันเป็นแค่อดีตที่ผ่านมาแล้ว เรียนรู้ไว้เพื่อเป็นความรู้ เป็นสิ่งเตือนใจ เป็นบทเรียน

การที่น้องในคลิปคนนี้คิดว่า ประวัติศาสตร์ไทยสอนให้เกลียดประเทศเพื่อนบ้าน แสดงว่า เป็นความบกพร่องของครูผู้สอนที่ไม่สอนให้นักเรียนเข้าใจนิยามและความหมายของการเรียนประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องดีพอ


อย่างเดี่ยวนี้เวลาไทยเราทำหนังประวัติศาสตร์อาณาจักรไทยในอดีตรบกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน ช่วงสมัยอยุธยา ไทยเราก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า รบกับพม่าแล้ว เพราะไม่ตรงกับความเป็นจริงทางประวัติศาตร์

ด้วยเหตุที่การรบในสมับโบราณ เป็นการรบของอาณาจักรต่าง ๆ ก่อนจะมีการกำเนิดเป็นประเทศในยุคปัจจุบัน เพราะการเป็นประเทศไทย ประเทศพม่า เพิ่งจะมีเมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง

เช่นในสมัยพระนเรศวร รบ ก็คือ อาณาจักอยุธยาหรืออโยธยา รบกับ อาณาจักหงสาวดี หรือรบกับอาณาจักรตองอู เป็นต้น

ในหนังนเรศวร ก็จะเรียกเป็นทหารตองอู หรือเรียกทหารหงสาวดี แทน ไม่ได้เรียกทหารพม่า แต่อย่างใด

ส่วนประวัติศาสตร์สมัยใหม่หลังกำเนิดเป็นประเทศแล้ว หากเรื่องใดมันเกิดจากประเทศใดกระทำ ก็ต้องนำความจริงมานำเสนอ

ถ้าใครเคยดูหนังต่างประเทศ หรือ ซีรีย์ต่างประเทศ เขาไม่มีกั๊กเลยครับที่จะเอ่ยถึงประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าความจริงมันคือความจริง

เช่น อังกฤษเคยทารุณกับคนอินเดียอย่างไร ในหนังเรื่องมหาตมะคานธี หรือ ญี่ปุ่นเคยโหดร้ายอย่างไร ในหนังสงครามโลกของจีน หรือของเกาหลีใต้

ต่างประเทศเขานำเสนอความจริงอย่างไม่มีความเกรงใจเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งสำคัญคือ การสอนให้นักเรียนเข้าใจว่า มันเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เท่านั้น

อย่างเช่น กรณีเขาพระวิหาร ไทยเรามีปัญหากับกัมพูชา จะให้เราสอนประวัติศาสตร์เรื่องนี้โดยไม่เอ่ยถึงประเทศกัมพูชาเลยก็คงทำไม่ได้ เพราะนั่นถือว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์

แต่อยากให้ทุกคนที่เรียนประวัติศาสตร์รู้ไว้ว่า คนไทยกับคนชาติอื่น ๆ ไม่ได้มีปัญหาเกลียดชังกัน แต่ปัญหาระดับประเทศ หรือความขัดแย้งกับประเทศ มันเป็นเรื่องของระดับรัฐบาลแต่ละประเทศนั้น ๆ

อย่างเช่น ช่วงนี้คนไทยเราด่าสหรัฐอเมริกา ที่มาวุ่นวายแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยเรามากเกินไป  ก็ไม่ได้แปลว่า คนไทยต้องเกลียดคนอเมริกันด้วย

หรืออย่างที่ประเทศนิวซีแลนด์ ที่รับไอ้ตั้ง อาชีวะ เป็นพลเมือง คนไทยเราก็ต่อต้านรัฐบาลนิวซีแลนด์ หรือต่อต้านการซื้อสินค้านิวซีแลนด์เพื่อเป็นการประท้วง แต่ไม่ได้แปลว่า คนไทยต้องไปเกลียดคนนิวซีแลนด์

ที่จริงในอาเซียนนี่ การเรียนประวัติศาสตร์ของไทยนับว่าให้เกียรติเพื่อนบ้านอย่างมากที่สุดแล้ว เพราะแม้แต่ในกัมพูชา การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ของเขาในวันนี้ ยังมีการสอนให้เกลียดคนไทยอยู่เลย เช่นวรรณคดีเรื่องพระโคพระแก้ว เป็นต้น

ดังนั้นที่นักเรียนคนนี้อ้างว่า การเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านไม่มีสอนให้เกลียดประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่เป็นความจริง

ก่อนจบบทความ ผมอยากถามนักเรียนในคลิปคนนี้ว่า

เคยเห็นข่าว ชาวเวียดนามเผาโรงงานของคนจีนไหม ?

เคยเห็นข่าว คนกัมพชาเผาสถานทูตไทยไหม ??

เคยเห็นคนญี่ปุ่นเดินประท้วงนางเอกเกาหลีใต้ที่ชื่อ คิมแตฮี ไหม ?

ทำไมประเทศเหล่านี้จึงเกิดข่าวแบบนี้เกิดขึ้น ??


วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

สมหมาย ภาษี คิดห่วยเสนอลดดอกเบี้ยรับ QE จากธนาคารกลางยุโรป







จากข่าว รมว.คลังเสนอ ธปท. ลดดอกเบี้ย

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศจะอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 720,000 ล้านยูโรและการอัดฉีดจากธนาคารกลางญี่ปุ่นเฉลี่ยปีละ 600,000 ล้านยูโรถือเป็นปริมาณเงินที่ค่อนข้างสูงมาก จะส่งผลให้ค่าเงินยูโรและค่าเงินเยนในระยะต่อไปอ่อนค่าลง เกิดการผันผวนตลาดเงินและตลาดทุน มาลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคอื่นมากขึ้นในส่วนของไทยค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นส่งผลให้การขยายตัวของภาคการส่งออกในปีนี้ลดลง

ทั้งนี้ การดูแลตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยนไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงการคลังแต่เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนซึ่งตามทฤษฎีการดูแลไม่ให้เงินทุนไหลเข้ามากเกินไป จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ส่วนจะลดเท่าใดอยู่ที่การตัดสินใจของ ธปท. กระทรวงการคลังคงให้ความเห็นไม่ได้

--------------------

รมว.คลัง คิดโง่ๆ เสนอลดดอกเบี้ยนโยบาย

ขณะนี้ประเทศไทยมีดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2 % ซึ่งถือว่า เกือบจะต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งสถานการณ์ของคนไทยคือ ไม่รู้จักเก็บออม จนคนไทยมีเงินออมน้อยมาก แต่กลับมีหนี้ครัวเรือนสูง เพราะการใช้จ่ายเกินตัวและไม่รู้จักออก

การที่ภาครัฐตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนายกิตติรัตน์ อดีต รมว.คลัง ก็เคยอ้างว่าค่าเงินบาทแข็งทำส่งออกไทยทรุด จึงพยายามกดดันให้ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาโดยตลอด

สุดท้ายพอ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์กดดัน ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ส่งออกไทยดีขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับทำให้พวกนายทุนร่ำรวยมากขึ้น เพราะแรงกระตุ้นการจับจ่ายที่ภาครัฐพยายามกระตุ้นคนไทยให้ใช้จ่าย

สุดท้ายหนี้ครัวเรือนของคนไทยพุ่งสูงขึ้นมาตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เรื่อยมาจนมาอยู่ที่ 83.5 % เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา


ตอนนี้ รมว.คลัง ในรัฐบาล คสช. ก็ยังใช้แนวคิดเดิม ๆ คือ เสนอให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง การเสนอแบบนี้ยิ่งทำให้คนไทยยิ่งไม่อยากออมเงินมากขึ้น

และเป็นการแก้ปัญหาเงินใหลเข้าประเทศไทยที่ผิดวิธี เพราะมาตรการคิวอีของอียู เงินที่จะไหลเข้ามาก็จะใหลไปที่ตลาดหลักทรัพย์มากที่สุด เงินพวกนี้ไม่ได้สนใจจะเข้ามาฝากเงินเพื่อหวังดอกเบี้ยหรอกครับ

เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยมันต่ำอยู่แล้ว ต่ำเกือบที่สุดในอาเซียน รองจากสิงคโปร์เท่านั้น

หากเงินจากมาตรการคิวอีจะไหลเข้าอาเซียนเพื่อฝากเงินหวังดอกเบี้ย เขาไปฝากที่อินโดนีเซียดีกว่า เพราะในเดือนมกราคม 2515 นี้ ดอกเบี้ยอินโดนีเซียอยู่ที่ 7.75 %

อัตราดอกเบี้ยมาเลเซีย อยู่ที่ 3.25 %

อัตราดอกเบี้ย ฟืลิปปินส์ อยู่ที่ 4 %

อัตราดอกเบี้ย เวียดนาม อยู่ที่ 6.5 %

อัตราดอกเบี้ย จีน อยู่ที่ 5.6 %

เงินจากมาตรการคิวอีของยุโรป ก็ไม่ต่างจากเงินคิวอีของสหรัฐอเมริกา ที่จะไหลบ่ามาทำกำไรระยะสั้นในตลาดทุนเป็นหลัก  จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจไทยจะแย่ลง แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ได้แย่ลงตามไปด้วย เพราะกระแสเงินจากคิวอีของสหรัฐอเมริกาไหลเข้ามานั่นเอง

แล้วพอถึงจุดหนึ่ง พวกนักลงทุนต่างชาติก็จะพากันแห่ถอนการลงทุนออกฉับพลัน เหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ตลาดหุ้นไทยตกหนักทีเดียว 100 จุด เพื่อทำกำไรระยะสั้น

--------------

ดังนั้น ถ้า รมว. คลัง นายสมหมาย ภาษี ยังเสนอให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยกระทำ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

แต่ที่แน่ ๆ คนฝากเงินทั่วประเทศซวย ที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง และคนไทยส่วนใหญ่ก็จะยิ่งไม่อยากออมเงินเหมือนเดิม

ทั้ง ๆ ที่นโยบายรัฐบาล คสช. บอกว่าจะยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต้องยิ่งส่งเสริมการออมภาคประชาขนให้มากขึ้น แต่ดันคิดจะมาลดดอกเบี้ยเงินฝากลง !!

สรุปได้ว่า นายสมหมาย ภาษี คนนี้ก็ยังเป็นรัฐมนตรีคลังที่มีวิสัยทัศน์รับใช้ระบบนายทุนเช่นเดิม

ลองคิดในมุมกลับกัน การที่ค่าเงินบาทจะแข็งไปบ้างจากการที่ค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง ก็อาจเป็นผลดีที่ทำให้ไทยเราสามารถมีต้นทุนการผลิตจากการนำเข้าวัตถุดิบ และเครื่องกล ตลอดจนน้ำมัน ในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเลคโทรนิคส์ และการประกอบยานยนตร์ ซึ่งไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจำนวนมาก เมื่อหักลบกันแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามแต่อย่างใด

อีกทั้งเวลาค่าเงินยูโรอ่อนลง ไม่ได้มีเฉพาะเงินบาทที่แข็งขึ้นเพียงชาติเดียว เงินสัญชาติอื่น ๆ ก็แข็งขึ้นตามเช่นกัน ดังนั้น ปัจจัยเรื่องการส่งอออกสินค้า ไม่ได้วัดกันที่ค่าเงินเป็นหลัก

อีกทั้งการที่ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง เพราะอียูพิมพ์ธนบัตรออกมาแบบไม่อยู่บนกฎเกณฑ์ที่ต้องอิงกับทองคำที่เป็นทุนสำรอง แปลง่าย ๆ คือ พิมพ์เงินตามใจชอบ ดังนั้น เมื่อเงินยูโรมีมากขึ้นแบบไร้กฎเกณฑ์ เหมือนพิมพ์แบงด์กงเต็ก ย่อมทำให้ค่าเงินยูโรตกต่ำลง

ถ้าไทยไปพยายามทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงตามแบงค์กงเต็กตามค่าเงินยูโร ไทยเราก็โง่แล้วครับ

และถ้ามาลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกนี่สิ จะทำซ้ำเติมให้ประเทศไทยแย่ลง เพราะเงินออมคนไทยก็จะลดลงอีก ทั้ง ๆ ที่ประเทศจะรวยอย่างมั่นคงได้ ก็ต้องวัดกันที่คนในประเทศมีเงินออมมากแค่ไหน

หรือว่า การขายพันธบัตรสุขกันเถิดเรา ที่ผ่านมาของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเงินไปใช้หนี้จำนำข้าวแทนยิ่งลักษณ์ ยังขายไม่ค่อยออก

รมว.คลัง คนนี้จึงพยายามจะกดดันให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยลง เพื่อจะได้จูงใจให้ประชา่ชนถอนเงินเพื่อไปซื้อพันธบัตรสุขกันเถิดเราในรุ่นต่อไป ให้มากขึ้นแทนใช่ไหม ?

หากคิดจะสกัดการไหลเข้าของเงินคิวอียุโรป ก็หาทางสกัดกั้นเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยสิ มันมีวิธีที่ทำได้ แต่ก็ไม่คิดจะทำกัน เพราะพรรคพวกนายทุนจะสูญเสียผลประโยชน์ไงล่ะ

ก่อนจบบทความ ผมขอบอกคุณผู้อ่านว่า ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดของไทยคิดจะปฏิรูปเรื่องการผ่อนบ้านของคนไทย ที่คนไทยถูกเอาเปรียบจากเสือนอนกินอย่างธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารมานานแล้ว

ไว้ผมจะหาโอกาสเขียนอีกที

แนะนำอ่านบทความเก่าเพิ่มเติมตามลิงค์ข้างล่าง หากคุณผู้อ่านยังไม่เข้าใจเรื่อง คิวอี และการลดดอกเบี้ย

คลิกอ่าน ความโง่ของกิตติรัตน์ กับวิกฤติค่าเงินบาทแข็ง


วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

การก่อการร้ายกับคะแนนนิยมผู้นำโลก






หลังจากบริษัทโซนี่ พิคเจอร์ ถูกแฮคข้อมูล ทำให้มีหนังที่ยังไม่ได้ฉายถูกเผยแพร่ออนไลน์ออกไป สร้างความเสียหายให้แก่บริษัทโซนี่ ฯ มหาศาล

ทางการสหรัฐอเมริกา กล่าวหาว่า เกาหลีเหนือคือผู้ก่อการแฮคข้อมูลบริษัทโซนี่ พิคเจอร์ คาดว่าเพื่อตอบโต้การที่บริษัทโซนี่ พิคเจอร์สร้างหนังล้อเลียนผู้นำเกาหลีเหนือ

ด้วยเหตุนี้เลยทำให้หนังเรื่องThe Interview หนังที่ล้อเลียนผู้นำเกาหลีเหนือ มีคนอเมริกันแห่ไปชมเพื่อแสดงพลังต่อต้านการก่อการร้ายทางเทคโนโลยีหรือแฮคเกอร์นั่นเอง

หลังจากเกิดกระแสต่อต้านแฮคเกอร์ในสังคมอเมริกัน สังเกตได้ว่า ปัญหาความแตกแยกจากเรื่องสีผิวของสังคมอเมริกันที่ร้อนระอุก็ผ่อนคลายลงไป

อีกทั้ง ประธานาธิบดีโอบามาก็ได้ประกาศศักดาต่อต้านการแฮคเกอร์ไปด้วยในตัว ทำให้คะแนนนิยมต่อประธานาธิบดีโอบามาพุ่งสูงขึ้น!!?

----------------------

เมื่อเกิดเหตุคนร้ายบุกยิงคนในนิตยสารชาลี เอปโด ของฝรั่งเศส จนมีผู้เสียชีวิต 12 คน

ก็เกิดกระแส เราคือชาลี ในสังคมฝรั่งเศส มีการเดินขบวนต่อต้านการก่อการร้าย และการแสดงออกเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นของสื่อ โดยมีผู้นำทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ มาร่วมเดินขบวนเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความเห็นครั้งนี้ด้วย

กระแสความนิยมในตัวประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ก็พุ่งพรวดขึ้นทันที หลังจากกระแสนิยมในตัวประธานาธิบดีฝรั่งเศสตกต่ำมาหลายเดือน

สาเหตุเพราะเขาแสดงจุดยืนต่อต้านการก่อการร้ายอย่างเข้มแข็ง และการแสดงจุดยืนในการปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนของเขานั่นเอง

นิตยสารชาลีเอปโด ฉบับต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายก็ขายดีเทน้ำเทท่า พร้อมทั้งยังตีพิมพ์การ์ตูนล้อพระศาสาดโมฮัมหมัดต่อไป

คนฝรั่งเศสและชาวยุโรปหลายประเทศ แห่กันซื่อนิตยสารชาลีเอปโด เพื่อต้องการแสดงออกในการต่อต้านการก่อการร้ายและแสดงออกเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

----------------

ประเด็นที่ผมจะนำเสนอคือ เป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลสหรัฐอาจแฮคเกอร์บริษัทโซนี่ พิคเจอร์เสียเอง ??

เพราะจนทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า เกาหลีเหนือแฮคบริษัทโซนี่ พิคเจอร์จริง ๆ และจู่ ๆ ข่าวนี้ก็เริ่มเงียบไปแล้ว

และเป็นไปได้ไหมที่รัฐบาลฝรั่งเศสจะรู้ข่าวล่วงหน้าก่อนแล้วว่า จะเกิดการก่อการร้ายต่อนิตยสารชาลี เอปโดขึ้น แต่แกล้งปล่อยให้เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นเพื่อหวังผลบางอย่าง ??

เพราะ 1 ในคนร้ายที่ก่อเหตุก็อยู่ในบัญชีของผู้ถูกจับตามองเป็นพิเศษของฝ่ายความมั่นคงฝรั่งเศสอยู่แล้ว และนิตยสารชาลีเอปโด ก็ตกอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอยู่แล้วเช่นกัน

ไม่มีอะไรใช่ หรืออะไรแน่นอนหรอกครับ และไม่ต้องเชื่อผม เพราะผมแค่สมมุติเพื่อให้ลองคิดเล่น ๆ

ส่วนโลกมุสลิมหลายประเทศ ก็เกิดกระแสต่อต้านฝรั่งเศส ด้วยสโลแกน เราไม่ใช่ชาลี

ส่วนประธานาธิบดีโอบามา ที่เพิ่งแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป ก็ได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากประกาศจุดยืนต่อต้านการก่อการร้าย !!



แล้วก็เกิดความปั่นป่วนและความขัดแย้งของโลกมุสลิม ในช่วงที่น้ำมันราคาตกหนัก ??

---------------



แต่แล้วจู่ ๆ กลุ่มไอเอสก็เกิดจับชาวญี่ปุ่นเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกค่าไถ่จำนวน 200 ล้านดอลล่าห์ หากไม่ได้เงินค่าไถ่ตามต้องการภายใน 72 ชม. (หรือเวลา 12.50 ของวันศุกร์ที่ 23) ให้เท่ากับที่ญี่ปุ่นได้มอบเงินบริจาคให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง

ขณะที่นายชินโซะ อาเบะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่า เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจได้ว่าตัวประกันทั้งสองจะปลอดภัย และเขาจะไม่ยอมแพ้ให้กับการก่อการร้าย

ทั้งนี้ ไอเอสได้สังหารตัวประกันชาวตะวันตกไปแล้ว 5 รายนับแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นักรบไอเอสขู่จะฆ่าตัวประกันชาวญี่ปุ่น

--------------------

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบอกจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวประกันญี่ปุ่นปลอดภัย ??
แต่ก็บอกอีกว่า จะไม่ยอมแพ้แก่การก่อการร้าย ??

ดูกำกวมจริง ๆ คำพูดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพราะถ้าทำทุกวิถีทางก็อาจแปลว่า อาจยอมจ่ายเงิน ?? แต่ถ้ายอมจ่ายเงินก็จะเท่ากับยอมแพ้แก่ผู้ก่อการร้าย ??

ช่วงนี้ญี่ปุ่นกำลังจะเพิ่มศักยภาพกองกำลังป้องกันตัวเอง และต้องการจะยกระดับเป็นกองทัพญี่ปุ่นอีกด้วย เพื่อสร้างความพร้อมในการรับมือกับเกาหลีเหนือและจีนแดง โดยญี่ปุ่นจะทุ่มเงินอีกมหาศาลเพื่อปรับปรุงกองกำลังป้องกันตัวเองคราวนี้

แต่จู่ ๆ ดันมีศัตรูที่ไม่ได้คาดหมายเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มไอเอส

เป็นไปได้ไหม ที่สหรัฐอเมริกากำลังอยากได้เงินจากญี่ปุ่นเพื่อมาสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้ายและการกำจัดกลุ่มไอเอส (กลุ่มไอเอสที่สหรัฐอเมริกาปั้นขึ้นมากับมือเองเพื่อต่อต้านรัฐบาลซีเรีย)

เพราะบางทีเริ่มแรกเป็นมิตรกัน ต่อมาเป็นศัตรูกัน แต่แม้จะเป็นศัตรูกัน บางครั้งศัตรูก็ร่วมมือกับศัตรูได้เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน

บอกตรง การเมืองโลกนี่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริง ๆ โชคดีที่ไทยเราไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเขาด้วย

-----------------------

แต่ก่อนที่นักข่าวอิสระสองคนนี้ของญี่ปุ่นจะเดินทางไปทำข่าวในดินแดนแถบนี้

1 ใน 2 คนเคยทำคลิปบอกไว้ว่า เขารู้ตัวว่าได้เดินทางไปทำข่าวในที่มีความเสี่ยงและอันตรายมาก เขาขอรับผิดชอบตัวเขาเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาไม่ต้องการให้ประเทศญี่ปุ่นต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา

ส่วนรูปด้านล่างเป็นรูปที่คนญี่ปุ่นทำล้อเบี้ยนกลุ่มไอเอส เพื่อประกาศว่า ชาวญี่ปุ่นจะไม่ยอมก้มหัวและทำตามคำเรียกร้องของผู้ก่อการร้าย

http://imgur.com/ldhJKV7

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

แนะวิธีจัดการไอ้ตั้ง อาชีวะ ต้องวิธีนี้เท่านั้น






วันก่อนที่ประเทศอินโดนีเซียได้ประหารนักโทษค้ายาเสพติดไปหลายราย ซึ่งในจำนวนนักโทษที่โดนประหารก็มีนักโทษชาวบราซิลและนักโทษชาวเนเธอร์แลนด์รวมอยู่ด้วย

จึงทำให้รัฐบาลบราซิลและรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไม่พอใจประเทศอินโดนีเซียอย่างมาก จนถึงขนาดเรียกตัวเอกอัครราชทูตของตัวเองกลับประเทศ เพื่อเป็นการประท้วงรัฐบาลอินโดนีเซีย

นี่คือวิธีการทางการทูตในการแสดงความไม่พอใจต่อประเทศที่มีความสัมพันธไมตรีทางการทูตต่อกัน

แต่กรณีนี้ผมขอเข้าข้างอินโดนีเซียนะ  เพราะกฎหมายอินโดนีเซียเขากำหนดโทษประหารไว้นานแล้วสำหรับคดีค้ายาเสพติด ก็ในเมื่อคุณไปทำผิดในประเทศของเขา ไม่ให้ความเคารพในกฎหมายบ้านเมืองของเขา ก็ต้องยอมรับกับผลที่จะตามมา

ส่วนในประเด็นเรื่อง โทษประหาร ช่วยลดปัญหายาเสพติดหรือลดปัญหาอาชญากรรมได้หรือไม่ ?

พวกที่ต่อต้านการประหาร ก็มักอ้างว่า เคยมีทำการวิจัยแล้วว่า โทษประหารไม่สามารถลดคดียาเสพติดหรือลดอาชญากรรมลงได้

แต่มีคนถามกลับว่า แล้วถ้าไม่ประหาร แค่ติดคุกอย่างเดียวมันลดอาชญากรรมและคดียาเสพติดลงได้ไหมล่ะ ? ถ้าไม่ได้เหมือนกันก็เงียบไปเหอะ 555

แต่ที่แน่ ๆ การมีโทษประหารทำให้ไปต้องเปลืองภาษีเลี้ยงดูพวกที่ทำผิดร้ายแรงที่ไม่รู้ว่ากลับตัวกลับใจได้จริงหรือไม่ต่อไป

แต่สำหรับความเห็นผมนะ ผมขอยกตัวอย่างเรื่อง มือปืนรับจ้าง แล้วกัน

พวกมือปืนรับจ้างฆ่าคนนั้น ถือเป็นการทำลายระบบคนดี เพราะถ้าคุณเป็นคนดี หรือเป็นข้าราชการที่ดี แล้วการทำดีของคุณเกิดไปขัดผลประโยชน์คนอื่นหรือขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพล แล้วเขาก็เลยจ้างมือปืนมายิงคุณตาย

แล้วแบบนี้ใครล่ะจะกล้าเป็นคนดี จริงไหม ?

นั่นเพราะ พวกมือปืนรับจ้าง นอกจากไม่เกรงกลัวกฎหมายแล้ว พอถูกจับได้ มักได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เพราะให้การรับสารภาพโดยดี คงเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต แล้วพอทำตัวดีหน่อยก็อาจได้รับการลดโทษมาเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ได้ออกจากคุกในที่สุด

ซึ่งมีมือปืนชื่อดังในอดีตหลายคนได้ออกจากคุกไปแล้วมากมาย แม้ส่วนใหญ่ออกไปแล้วจะเลิกเป็นมือปืนรับจ้างก็ตาม

แต่คนดีที่ตายไปแล้วก็ซวย ญาติของเหยื่อที่ถูกลอบสังหารก็ซวย อีกทั้งระบบที่จะทำให้คนดีกล้ายืนหยัดสู้กับคนชั่วก็เสื่อมลง เพราะคนดีจำนวนมากก็จะกลัวโดนมือปืนมาลอบยิงตาย

สุดท้ายเพราะการมีมือปืนรับจ้าง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่อยากเป็นคนดียากขึ้น เพราะใคร ๆ ก็รักชีวิตทั้งนั้น

ผมฝากให้คุณผู้อ่านคิดต่อแล้วกัน

แต่ขอยกตัวอย่างประเทศที่น่าลงทุนและน่าอยู่ที่สุดในโลก คือติดอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด ก็คือประเทศสิงคโปร์ 

สาเหตุก็เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ติดอันดับต้น ๅ ในเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดในโลกชาติหนึ่ง ที่ยังมีทั้งโทษประหารชีวิต มีทั้งโทษปรับเงินหนัก ๆ ที่ยังบังคับใช้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เสือกระดาษ

-------------

กรณีตั้ง อาชีวะ หรือ นายเอกภพ เหลือแต่รา

ประเทศนิวซีแลนด์ ให้ที่พักให้สัญชาติไอ้ตั้ง อาชีวะ โดยเข้าใจว่า มันเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง

ซึ่งทางไทยก็ชี้แจงไปแล้วว่า นี่ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นผู้ต้องหาที่บ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย เพราะกระทำการหมิ่นพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของประเทศ และเป็นสถาบันความมั่นคงของชาติไทยด้วย

ที่จริงโทษมาตรา 112 ก็ไมไ่ด้หนักหนาสาหัสมากนัก แค่ผู้ต้องหารับสารภาพและยอมรับผิดโดยดี นักโทษทุกคนก็จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น และที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครติดคุกจากความผิดมาตรา 112 จนครบกำหนดโทษสักคน (แต่ไม่แน่อาจมีนังดา ตอปิโด คนแรก)

เพราะบุคคลที่ทำความผิดแบบนี้ ทางการนิวซีแลนด์ไม่ควรให้ที่พำนักพักพิงและให้สัญชาติแก่คนร้าย

การที่นิวซีแลนด์ให้สัญชาติไอ้ตั้ง อาชีวะ นั่นเท่ากับนิวซีแลนด์ไม่ให้เกียรติประเทศไทย ไม่เคารพกฎหมายไทย จึงให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ทำความผิดตามกฎหมายไทย

ผมจึงอยากให้รัฐบาลไทยดูรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ และรัฐบาลบราซิลเป็นตัวอย่างว่า ทั้งสองประเทศนี้เขารักศักดิ์ศรีของประเทศตัวเองขนาดไหน

คือทั้งสองประเทศเคยร้องขอทางการอินโดนีเซียไปแล้วว่า อย่าประหารชีวิตคนของเขา ควรจะส่งตัวนักโทษกลับมาดำเนินคดีต่อตามกฎหมายที่ประเทศแม่ก็ได้

แต่เมื่อทางการอินโดนีเซียไม่ทำตามคำร้องขอจากทั้งสองประเทศ

ทั้งรัฐบาลบราซิลและรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เลยทำการประท้วงด้วยการเรียกทูตกลับประเทศ

แต่อีกสักพักทั้งสองประเทศก็คงส่งทูตกลับไปเองนั่นแหละ เดี๋ยวเขาก็หาเหตุคืนดีกันเงียบ ๆ เอง แต่ที่ทั้งสองประเทศต้องเรียกทูตกลับ ก็เพื่อแสดงการประท้วงรัฐบาลอินโดนีเซียเท่านั้น

สำหรับรัฐบาลไทย ผมว่า ไม่ต้องไปร้องขอนิวซีแลนด์อะไรให้เสียเกียรติหรอกครับ

แต่รัฐบาลไทยควรออกแถลงการณ์ไปเลยว่า

"ยินดีที่นิวซีแลนด์รับคนเลว ๆ อย่างนายเอกภพ เหลือแต่รา ไปเป็นพลเมืองในประเทศของท่าน เพราะประเทศไทยไม่ต้องการคนเลวไร้ราคาแบบนี้ให้เป็นคนไทยอีกแล้ว เพราะมันอยู่ไปก็รังแต่จะหนักแผ่นดินไทยเปล่า ๆ 

ขอบคุณที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ ที่รับคนชั่วคนนี้ไปเป็นพลเมืองนิวซีแลนด์ เพราะถ้านายเอกภพ เหลือแต่รา ยังอยู่ในประเทศไทยต่อไป เกรงว่าประเทศไทยอาจเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทางภาคเหนือเหมือนเมื่อปี 2557 อีก 

ขอขอบคุณรัฐบาลนิวซีแลนด์"

ในเมื่อขอร้องดี ๆ กันไม่ได้ ก็เกทับแถมพร้อมอวยพรให้มันไปเลย ซึ่งถ้ารัฐบาลไทยทำแบบที่ผมว่านะ รับรองไอ้ตั้งไม่ได้อยู่ในนิวซีแลนด์ต่อแน่นอน

นี่คือที่รัฐบาลไทยควรทำ อาจเป็นครั้งแรกของโลกที่มีแถลงการณ์ประชดแบบนี้ แต่ได้ใจแน่นอน

ส่วนเราคนไทยก็ร่วมกันกดดันให้นิวซีแลนด์ไล่ไอ้ตั้งออกนอกประเทศให้ได้ อย่าให้มันได้อยู่ในประเทศที่สวยงามแบบนิวซีแลนด์ เพราะมันสบายเกินไป


วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

สมีเกษมมันเป็นบัณเฑาะก์ ตุ๋ยตูดลูกศิษย์






เป็นข่าวดังไปเมื่อวันเสาร์ที่ 17 ม.ค. 58 ที่ผ่านมากรณีข่าว พระเกษมเสพเมถุนกับลูกศิษย์ผู้ชาย

หลายคนอาจช็อคจากข่าวนี้ โดยเฉพาะพวกสาวกที่หลงเชื่อไอ้เกษมมาตลอด

แต่สำหรับผมไม่แปลกใจเลยที่ไอ้เกษมมันปาราชิก เพราะผมเคยเขียนบทความไว้ตั้งแต่ปี 56 แล้วว่า ไอ้เกษมมันปาราชิกมานานแล้ว (จากกรณีอวดคุณวิเศษ)

เพียงแต่ที่ผมจะอึ้งก็คือ แทนที่ไอ้เกษมจะปาราชิกเพราะเสพสังวาสกับผู้หญิง กลับกลายเป็นไอ้เกษมมันเสพสังวาสทางทวารหนักกับผู้ชายนี่แหละ

แสดงว่า ไอ้เกษมนี่มันเป็นเกย์นี่หว่า ซึ่งเกย์ก็น่าจะจัดเข้าอยู่ในลักษณะบัณเฑาะก์ ลักษณะที่ 1 ที่ถูกห้ามไม่ให้มาบวชเป็นพระอยู่แล้ว


http://imgur.com/MYyzLEU

บัณเฑาะก์ คำนี้มาจากคำว่า "ปณฺฑก" หมายถึง ผู้ที่มีเครื่องหมายของบุรุษหรือสตรีเพศขาดตกบกพร่องไป จำแนกออกแบบชัดๆ ได้เป็นบุคคล 3 จำพวก คือ

1.ชายผู้ประพฤตินอกรีตในทางเสพกาม (ผู้มีราคะกล้า) คือเป็นผู้ชายมีอวัยวะเพศเป็นชายโดยสมบูรณ์ แต่เสพกามกับผู้ชายด้วยกัน ทางเวจมรรค และทางปาก บุคคลจำพวกนี้มีจิตใจและการแต่งตัวเป็นผู้ชาย  ที่เราๆ รู้จักและเรียกกันว่า "เกย์" นั่นเอง

2.ชายผู้ถูกตอน (ถ้าเคยดูหนังจีนโบราณ เราจะเรียกกันว่า ขันที) คือผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศออกหมด ทั้งส่วนที่เป็นองคชาตและอัณฑะ บุคคลจำพวกนี้ขาดฮอร์โมนเพศชาย จึงไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่ความสำนึกและจิตใจรวมทั้งความแข็งแรงยังเหมือนผู้ชายโดยสมบูรณ์ อันนี้ก็น่าจะหมายถึงผู้ชายที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิงแล้วด้วยนั่นเอง

3.กะเทย คือ คนหรือสัตว์ที่ไม่ปรากฏว่าเป็นชายหรือหญิง มีหลายอย่าง เช่น บางคนมีตัวบังคับ (ยีน) เป็นผู้ชาย บุคคลนั้นก็เป็นผู้ชาย แต่ผิดปกติที่อวัยวะเพศ ทำให้มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศของสตรี บางคนมีตัวบังคับ (ยีน) เป็นผู้หญิง บุคคลนั้นก็เป็นผู้หญิง แต่อวัยวะเพศบางส่วนมีขนาดใหญ่ จึงทำให้ดูคล้ายองคชาตของผู้ชาย

(ขอบคุณข้อมูล บัณเฑาะก์ จากครูลิลลี่)

ดังนั้น ก่อนที่ไอ้เกษมจะปาราชิก มันก็ไม่สมควรมาบวชตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะไอ้เกษมมันเป็นบัณเฑาะก์ !!





http://imgur.com/3wPMZ0w,bV69Wt1#0

http://imgur.com/8VEqZbS

ต่อมาในคืนวันเสาร์ที่ 17 ต่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 18 ม.ค. 58 นายเกษมยอมสึกแล้ว แต่ที่จริงไม่ต้องสึกหรอก เพราะมันขาดจากความเป็นพระมานานแล้วด้วยเหตุปาราชิก จากการอวดอุตริมนุสธรรมบ่อยครั้ง

แล้วไปนุ่งขาวห่มขาว อ้างว่า จะถือศีล 8 หรือศีล 5 ต่อ และจะสอนธรรมะต่อไป


http://imgur.com/nfKU4bn
ลูกศิษย์เกษมบางคนเล่าว่า เกษมมันเชื่อว่ามันเป็นอรหันต์มาตลอด ถุย !!

ก็เพราะมันคิดเอองเออเองว่า เป็นอรหันต์ มันเลยเชื่อว่า มันไม่มีทางทำผิดปาราชิกได้ เพราะอรหันต์ไม่กระทำปาราชิกแน่นอน และการที่มันเชื่อว่ามันเป็นอรหันต์และโอ้อวดให้ลูกศิษยฺ์ฟังเสมอนี่แหละ จึงเข้าข่ายปาราชิกมานานแล้ว

หลังจากสมีเกษมได้ถอดผ้าเหลืองแล้ว สมีเกษม อ้างว่า มันเข้าฌาณอีกไม่ได้ จึงคิดได้เองว่า ตัวเองได้ปาราชิกจริง ๆ จึงยอมสึก จะขอเป็นไวยาวัจกรต่อไป (อ้าวเข้าทางหาเงินรับเงินได้แล้วล่ะสิ)

ส่วนลูกศิษย์โง่ ๆ อีกจำนวนมากบอกว่า ไม่ยึดติดตัวบุคคล แต่ยึดติดธรรมะ

นี่ก็คือการแถของลูกศิษย์อีกแล้ว เพราะถ้าไม่ยึดติดตัวบุคคล ก็ควรขับไล่สมีเกษมที่ดูหมิ่นพระธรรมวินัยอย่างเลวร้ายออกจากวัด แต่การที่ให้สมีเกษมอยู่ในวัดต่อไป นี่แหละคือ การยึดติดตัวบุคคล

กรณีสมีเกษมนี้ เคยได้รับโทษจำคุก 2 ปีจากกรณีดูหมื่นศาสนามาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่ต่อมาศาลฎีกาเมตตายกเลิกโทษจำคุกให้ เพราะเห็นว่าให้การเป็นประโยชน์ต่อศาล คงเหลือแต่โทษปรับเท่านั้น

คลิปเรื่องเล่าเช้านี้ สมีเกษมนุ่งขาวห่มขาว


------------------

ปฏิรูปกฎหมายกรณีพระปาราชิก ควรมีโทษจำคุก

ผมเคยเขียนในหลายที่ว่า สถาบันศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ถือเป็นสถาบันหลักของประเทศสถาบันหนึ่ง ถือเป็นสถาบันที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

การที่พระอาบัติปาราชิกก็น่าจะถือว่า เป็นการบ่อนทำลายสถาบันศาสนาเช่นกัน จึงสมควรมีโทษทางอาญาด้วย

หากเป็นในสมัยโบราณ พวกสมีปาราชิกจะต้องรับโทษอาญาหนัก แถมโดนโบยและถูกสักกลางหน้าผากด้วย เพื่อไม่ให้ไปบวชใหม่ได้อีก

-----------------

ล่าสุด สมีเกษมเหิมหนัก พร่ำอย่างหน้าด้าน ๆ ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป

สมีเกษม ยอมรับแล้วว่าเคยตุ๋ยมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ทั้งพระและลูกศิษย์วัด

โพสต์ทูเดย์รายงาน


http://imgur.com/SdQmDhS,qqL0Vgj#0


http://imgur.com/y77cWJb


-------------------

ลองฟังสมีเกษม แถอีกสักครั้ง

ฟังสมีเกษมยอมรับว่า เคยหลงตัวเองเชื่อว่าตัวเองเป็นอรหันต์ จึงไม่น่าปาราชิกได้




คลิกอ่าน ไอ้เกษม มันปาราชิกมานานแล้ว

คลิกอ่าน ยันตระ มีพฤติกรรมยอมรับเองว่า ขาดจากความเป็นพระแล้ว


วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

UNHCR ช่วยพวกล้มเจ้า ขอสมน้ำหน้าพวกเศสฝรั่ง






จากกรณีไอ้ตั้ง อาชีวะ มันอวดฉลาดว่ามันได้เป็นคนนิวซีแลนด์ จนต่อมาความแตกว่า ที่แท้มีองค์กรระดับโลกที่ชื่อ UNHCR ช่วยเหลือให้มันลี้ภัยไปเป็นคนนิวซีแลนด์

ต่อมาไอ้หงอกเจียม สมศักดิ์เจียม ก็ออกมาโพสบอกไอ้ตั้งอย่าปากมาก เพราะจะทำให้คนที่ลี้ภัยเหมือนไอ้ตั้งอีกหลายคนจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ตามนี้

Somsak Jeamteerasakul "ในความเห็นผม (ที่มาจากการศึกษาเรื่องนี้อย่างมาก) ผู้ลี้ภัยทุกคนควรพูดถึงเรื่องการลี้ภัยของตัวเอง รวมถึงเรื่องประเทศที่ให้การลี้ภัย ‪#‎ให้น้อยที่สุด‬ ‪#‎ไม่พูดได้เลยยิ่งดี‬ ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีผลเสีย ไม่เพียงต่อตัวเองและประเทศที่ให้การลี้ภัย ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีผลเสียต่อคนลี้ภัยคนอื่นๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตด้วย

(ตอนที่มีข่าว "ตั้ง" แล้วกษิต ภิรมย์ ออกมาให้ความเห็น จุดที่กษิตพูดเรื่องที่ว่าปกติคนลี้ภัยเขาไม่เอาการลี้ภัยมา "คุยอวด" กัน เป็นอะไรที่ถูก กษิตยังไงก็มี expertise หรือความเชี่ยวชาญเรื่องพิธีการและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่)

การที่คิดว่าเป็นเรื่อง "เยาะเย้ย" "อีกฝ่าย" เพื่อความ "สะใจ" เป็นอะไรที่ "เด็ก" (childish) นอกจากไม่มีประโยชน์อะไรเลยแล้ว ยังมีแต่มีโอกาสทำให้เกิดปัญหากับตัวเอง ประเทศที่ตัวเองพัก และคนลี้ภัยอื่นๆ ดังกล่าว

("กองเชียร์" หรือ "แฟนคลับ" ในไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เข้าใจปัญหาละเอียดอ่อนซับซ้อนของการลี้ภัย ก็พลอย "เชียร์" หรือ แสดงความ "สะใจ" อะไรไปด้วย)"

จากที่ไอ้หงอกเจียมโพสเรื่องไอ้ตั้ง จึงทำให้รู้ว่า ไอ้หงอกเจียม รวมถึงอีกหลาย ๆ คนเช่น อีเพ็ญจักรภพ อีอั้ม ศรัณย์ ฉุยฉาย คนพวกนี้ล้วนแต่ลี้ภัย วิธีเดียวกับไอ้ตั้งเช่นกัน

พอเกิดเหตุการณ์ชาลีเอปโด ในฝรั่งเศส

ผมชักสะใจแล้วสิ ที่ฝรั่งเศสเกิดการก่อการร้ายขึ้น

ผมไม่ได้สะใจที่มีคนตาย แต่ผมมองในเรื่องของกฎแห่งกรรมครับ

ฝรั่งเศส เสือกให้อีอั้มเนโกะ และไอ้หงอกเจียม และอีกหลายตัวได้ลี้ภัย

ก็สมน้ำหน้าครับ บาปกรรมที่ฝรั่งเศสทำไว้กับไทย คือ ให้การสนับสนุนพวกชั่วหนักแผ่นดิน บาปกรรมจึงสนองฝรั่งเศสทันตาเห็น

ดีครับ ที่ให้ไอ้ตัวเสนียดไปอยู่ประเทศเศสฝรั่งเยอะ ๆ เดี๋ยวคงได้เจอหายนะอีก

กรรมสนองรายต่อไปอาจเป็นที่นิวซีแลนด์

อ้อ !! ลืมไปอีกประเทศนึง สหรัฐอเมริกานั่นไงครับ เจอบาปกรรมสนองเข้าไปเต็ม ๆ

คนผิวสี ขัดแย้งกับตำรวจผิวขาวรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี

ก็เพราะสหรัฐ ตัวดี สนับสนุนไอ้พวกล้มเจ้าให้อยู่ในประเทศเมกามากที่สุด

สมน้ำหน้า !!

หลายวันก่อนก็มีแดงล้มเจ้านปช.ยูเอสเอ มันตายไปคนนึง ไอ้พวกนี้แช่งเจ้า ด่าเจ้าทุกวัน สุดท้ายมันตายห่าไปก่อน 555

แต่ที่ขำที่สุดก็คือ UNHCR Thailand ได้ปิดเฟสบุ๊ค ปิดไอจี ปิดทวิสเตอร์ ปิดทั้งหมดแล้ว เพราะบุญคุณที่ได้ช่วยไอ้ตั้งแท้ ๆ 55555

-----------------------

ข้อคิดหลายตลบก่อนจบบทความ

ประเทศประชาธิปไตยแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุขรัฐและหัวหน้าฝ่ายบริหารอย่างเกาหลีใต้นี่ ช่างเผด็จการ จริง ๆ 555

มาจำกัดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนได้ไง 5555


คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


จากข่าวเกาหลีใต้ เราได้ข้อคิดอะไร ?

เราได้ข้อคิดที่ว่า เรื่องบางเรื่องในแต่ละประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเฉพาะตน เพราะแต่ละประเทศมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มีประเพณีที่แตกต่างกัน

ก็อย่างที่คนไทยที่จงรักภักดีมักบอกพวกล้มเจ้าว่า ถ้าพวกคุณไม่รักสถาบันกษัตริย์ และไม่อยากมีกษัตริย์ ก็ควรออกไปจากประเทศนี้ซะ

แต่เกาหลีใต้เขาทำหนักหนาสาหัสกว่าเสียอีก คือ แค่ชื่นชมประเทศศัตรู ก็โดนขับออกนอกประเทศแล้ว ซึ่งถ้าเรามองบนพื้นฐานความคิดของเรา เราก็ว่า ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่จริงไหม ?

แต่นั่นมันก็เรื่องภายในของเกาหลีใต้ ซึ่งเราก็ไม่ควรไปยุ่ง เพราะเราไม่ใช่คนเกาหลีใต้ เราย่อมไม่เข้าใจวิถีของพวกเขา

ส่วนมาตรา 112 ของไทย ก็คือกฎหมายหมิ่นประมาทองค์พระประมุข พระราชินี และองค์รัชทายาทเท่านั้น แถมคนที่โดนมาตรา 112 ถ้าสำนึกผิดได้ ก็จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษทั้งนั้น

ไม่เคยมีคนไทยถูกเนรเทศเพราะทำผิดมาตรา 112 มีแต่พวกมันหนีไปกันเอง เพราะความปอดแหก เพราะพวกล้มเจ้ามันสู้แบบรักตัวกลัวตาย  อาศัยความพยายามหลอกพวกโง่ในประเทศให้สู้แทนพวกมัน ซึ่งไม่มีทางทำสำเร็จแน่นอน

เพราะอะไร ?

ก็เพราะพวกโง่ในไทยมันก็รักตัวกลัวตายไม่ต่างจากแกนนำล้มเจ้านั่นแหละ

ในเรื่องนี้ผมเคยด่าอย่างละเอียดไว้แล้ว คลิกอ่าน ความปอดแหกของพวกล้มเจ้า

---------------

ตัวอย่างความเปราะบางเฉพาะถิ่น

เช่น ในยุโรป หากใครทำท่าเคารพด้วย ท่าไฮฮิตเล่อร์ แบบนาซี คนที่ทำกิริยาดังกล่าวอาจจะโดนแบนหรืออาจติดคุกได้

เคยมีนักฟุตบอลบัลแกเรีย เล่นในสโมสรแห่งนึงในยูโรป ทำท่าดีใจด้วยท่านาซี ก็เลยโดนแบนไปตลอดชีวิต

ส่วนเมืองไทยเคยมีนักเรียนไทยทางภาคเหนือแต่งตัวด้วยชุดนาซีเดินพาเหรด พวกสื่อฝรั่งดันออกมาประณามการกระทำของนักเรียนไทย ??

นี่หรือการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของพวกมึง ! (ไอ้พวกฝรั่ง)

คนไทยกับนาซีไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่พวกฝรั่งยังอุตส่าห์เข้ามาเสือก !!




คลิกอ่าน ความตอแหลของพวกล้มเจ้า พวกพยาธิในสังคม


ขอบสีน้ำตาลของขนมปังมีประโยชน์มาก อย่าทิ้ง






เวลาเราซื้อขนมปังขาวชนิดแผ่นทั่วไป ก็จะมีขอบสีน้ำตาลที่จะหยาบและแข็งกว่าเนื้อขนมปังใช่ไหม



หลายบ้าน หลายคนจะไม่ชอบกินตรงขอบขนมปัง ก็มักจะตัดขอบทิ้งไป อย่างพวกร้านทำแซนวิชขาย ก็จะตัดขอบขนมปังส่วนนี้ออกทุกด้าน แล้วส่วนขอบนี้เขามักจะเก็บไปเป็นอาหารปลาแทน



จนกระทั่งต่อมา ผู้ผลิตขนมปังก็เลยผลิตขนมปังขาวชนิดตัดขอบออกมาขาย ซึ่งราคาแพงขึ้น แต่ประโยชน์น้อยนิด

ปกติครอบครัวผม ในตอนเช้าผมจะกินขนมปังมาตั้งแต่เด็กก่อนไปโรงเรียน โดยแม่ของผมจะเป็นคนทำให้ทุกเช้า หรือถ้าแม่จะทำแซนวิช ก็จะไม่ตัดขอบทิ้ง ซึ่งผมเคยเห็นพวกฝรั่งส่วนใหญ่เขาจะทำแซนวิชโดยไม่ตัดขอบทิ้งเหมือนกันนะ




หลัก ๆ ที่ผมกินก็คือ ขนมปังปิ้งทาเนยอลาวรี่โรยน้ำตาลทั้งหมด 4 แผ่น กับโมโล 1 แก้ว ผมกินมาจนโต ส่วนปัจจุบันผมเปลี่ยนมากินชนมปังโฮลวีทกับลูกเกด แทนแล้ว

พ่อผมเคยสอนผมตั้งแต่ผมยังเด็กว่า "ขอบขนมปังมีประโยชน์นะ อย่าทิ้ง กินซะ เพราะมีแต่คนโง่ที่ไม่กินขอบขนมปัง"

พ่อผมสอนเรื่องนี้มานานร่วม 30 กว่าปีแล้ว

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพ่อไปได้ยินหรือได้รู้ความรู้เรื่องนี้มาจากไหนหรือเปล่า

แต่ผมก็เชื่อพ่อนะ เพราะผมไม่ได้รังเกียจรสชาติอะไรของขอบขนมปัง แต่ผมเดาเองว่า ที่พ่อผมสอนแบบนี้ คงเพราะพ่อเป็นคนที่ชอบเสียดายของมั้ง ถ้าทิ้งขอบขนมปังไปก็เสียของเปล่า ๆ  แถมมันยังช่วยให้อิ่มท้องมากขึ้นด้วย

ต่อมาพอผมโต ก็เหมือนจะเคยได้ยินอีก แต่จากที่ไหนไม่รู้สอนว่า ขอบขนมปังมีประโยชน์ เพราะมีวิตามินมาก

แล้วผมเคยสังเกตว่า ร้านขายอาหารปลาบางร้านเขาจะมีเศษขอบขนมปังขายเป็นถุงใหญ่ เพื่อสำหรับคนซื้อไปเลี้ยงปลา หรือให้ทานแก่ปลาตามวัด

ผมรู้มาว่า เศษขอบขนมปังพวกนี้ ได้มาจากร้านทำแซนวิชแบบขายส่ง เขาขายให้ร้านอาหารปลาราคาถูก

------

สรุปคือ ผมได้ยินเรื่องขอบขนมปังมีประโยชน์ครั้งแรกจากที่พ่อสอน และเคยได้ยินอีกสักครั้งหรือสองครั้งจากสื่อนี่แหละ

แต่แล้วก็เพิ่งได้ดูคลิปยืนยันชัดเจนว่า ขอบสีน้ำตาลของขนมปังมีประโยชน์มากจริง ๆ แถมมีสารต้านอนุมูลอิสระมากอีกด้วย (สารต้านอนุมูลอิสระ ก็คือ สารต้านมะเร็ง)

ลองดูคลิป 3.57 นาทีนี้สิครับ แถมมีวิธีที่ทำให้เกิดสารต้านอนุมูลอิสระในขนมปังมากขึ้นด้วย

Did you Know ? คุณรู้หรือไม่ ขอบสีน้ำตาลขนมปังมีประโยชน์กว่าเนื้อขนมปัง


ถ้าคุณได้ดูคลิปสักนิด ก็คงรู้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระในขนมปังสามารถเพิ่มขึ้นได้ถ้ารู้วิธี

ขอสรุปท้ายบทความนั้น ๆ ว่า "ฝรั่งฉลาดชอบกินแซนวิชไม่ตัดขอบ ส่วนแซนวิชที่ขายในเมืองไทยตัดขอบมันซะทุกยี่ห้อ"

----------

เรื่อง สามีที่รักภรรยา




มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันมานาน ถึงวันครบรอบแต่งงาน 30 ปี ทั้งสองจึงจัดฉลองวันครบรอบแต่งงานเล็ก ๆ ที่บ้าน

หลังเลิกงานทั้งคู่เดินเข้าครัวเพื่อจะช่วยกันเตรียมมื้อค่ำในวันแสนโรแมนติกนี้ ภรรยาหันไปเตรียมเครื่องดื่ม ส่วนสามีหยิบขนมปังและแฮมออกมาเพื่อจะทำแซนวิช

ขณะที่สามีหั่นขนมปังนั้น สามีได้ส่งส่วนของขอบขนมปังให้ภรรยา เหมือนที่เคยทำมาตลอด 30 ปี

ฝ่ายภรรยาหันมามองขอบขนมปังนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เธอพุดเสียงดังด้วยอาการอารมณ์เสีย

"พอกันที!! ฉันไม่ชอบขอบขนมปัง และฉันไม่เคยคิดที่จะชอบมันด้วยซ้ำ และฉันเกลียดที่สุดเวลาที่คุณส่งมันมาให้ฉันทุกครั้งที่คุณทำแซนวิชน่ะ"

ภรรยาตวาดออกมาถึงสิ่งที่เธอต้องอดทนมานานแสนนาน สามีไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่มองใบหน้าของภรรยาที่เธอมีใบหน้าแสดงอาการอารมณ์เสีย แล้วสามีก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า

"ที่รัก ส่วนของขอบขนมปังคือส่วนที่ผมชอบมันมากที่สุด แต่เพราะมันมีประโยชน์ที่สุด ผมถึงให้คุณ"

คลิกอ่าน วิธีข้าวเหนียวทำหมูปิ้งที่อร่อย วิธีที่ดีที่สุด


วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

สื่อฝรั่งเลว ๆ กับ มุสลิมหัวรุนแรงสุดโต่ง







จากเหตุสะเทือนขวัญในฝรั่งเศส ที่มีมุสลิมหัวรุนแรงบุกไปฆ่าคนในนิตยสารเสียดสีการเมืองที่ชือ Charlie hebdo รวม 12 ศพ จนเกิดกระแสต่อต้านการก่อการร้ายในฝรั่งเศส



ตรรกะพอกัน !!

สื่อฝรั่ง "พวกผมมีสิทธิเสรีภาพที่จะด่าศาสดา จะล้อเลียนของศาสนาพวกท่านได้"

มุสลิมหัวรุนแรง "พวกผมก็สิทธิเสรีภาพที่จะฆ่าพวกมึงที่ล้อเลียนศาสดาของพวกผมได้เช่นกัน"


เมื่อปี 2555 นิตยสารชาลี เอปโด ตีพิมพ์การ์ตูนล้อเลียนศาสดาของศาสนาอิสลาม

------------------

พวกสื่อฝรั่งมักอ้างเสรีภาพในการแสดงความเห็น โดยไม่สนว่าได้ทำร้ายจิตใจคนศาสนาอื่น หรือดูหมิ่นศาสนาอื่นหรือไม่

โดยเฉพาะสื่อที่ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย มักมีสันดานเช่นนี้ เพราะสื่อพวกนี้นับถือตนเองเป็นใหญ่ นับถือสิทธิเสรีภาพของตนเองเป็นใหญ่ เลยไม่เคารพสิทธิเสรีภาพในการเคารพและศรัทธาในศาสนาของผู้อื่น

ในประวัติมนุษยชาตินับหมื่นปีที่ผ่านมาจนวันนี้ มนุษย์เราเข่นฆ่ากันได้เพราะเรื่องศาสนาแตกต่างกันนี่แหละ

สงครามครูเสด นั่นไง



พวกฝรั่งที่บ้าสิทธิเสรีภาพ มักอ้างว่า ถึงผมจะล้อเลียนศาสดาของพวกคุณ ล้อเลียนศาสนาของพวกคุณ ถึงยังไงก็ตาม พวกคุณก็ไม่สิทธิมาทำลายชีวิตพวกผม

นั่นเพราะฝรั่งพวกนี้เห็นว่า ชีวิตตัวเองสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
แต่ก็มีผู้คนอีกพวกหนึ่งยึดหลักว่า ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้

ดังนั้นเมื่อพวกคุณดูถูกในสิ่งที่พวกผมเคารพรักและศรัทธายิ่งกว่าชีวิตตัวเอง โดยที่พวกคุณอ้างกฎหมายคุ้มครองปกป้องชีวิตพวกคุณมาใช้เป็นเกราะกำบังเพื่อมาทำร้ายจิตใจผู้อื่น

ดังนั้นพวกผมก็ขอไม่เคารพกฎหมายที่พวกคุณเขียน เพราะพวกคุณเองก็ไม่เคารพในศาสนาที่พวกผมนับถือเช่นกัน



นศ.ฝรั่งเศส ประท้วงรัฐบาลฝรั่งเศสที่จำกัดสิทธิการแต่งกายของสตรีชาวมุสลิม ด้วยการออกกฎหมายสั่งห้ามหญิงมุสลิมใส่ผ้าคลุมศีรษะ อ

เพราะบางครั้งปากกาของสื่อ ก็ทำร้ายคนอื่นยิ่งกว่ากระสุนปืนเสียอีก

ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือต้องเคารพและให้เกียรติในสิ่งที่ผู้อื่นเคารพศรัทธาด้วย




คลิกอ่าน UNHCR ช่วยพวกล้มเจ้า สมน้ำหน้าเศสฝรั่ง


วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ค่ายมือถือไทยเห็นแก่ตัวที่สุด






ความห่วย กสทช. เอื้อประโยชน์คำตอแหลของค่ายมือถือกรณีคิดค่าโทรเป็นวินาที

ผมจะไม่เท้าความมากนะครับ เพราะเขียนมาหลายบทความแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอเข้าเรื่องเลย

เรื่องการคิดค่าโทรเป็นวินาที ที่ สปช. ชงเรื่องให้ กสทช. ไปจัดการให้ค่ายมือถือทุกค่ายเลิกเอาเปรียบผู้บริโภคเรื่องการปัดเศษวินาทีค่าโทรเต็มนาที

เพราะทำให้ผู้ใช้บริการต้องจ่ายเงินในส่วนที่ตนเองไม่ได้ใช้ไปฟรี ๆ ให้ค่ายมือถือเอาไปกินฟรี กินเปล่า เดือนละไม่ตำกว่า 3 พันล้านบาท ปีนึงไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาทรวมทุกค่าย

ล่าสุดผลการเจรจาของ กสทช. กับค่ายมือถือเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 58 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า ค่ายมือถือสัญญาว่าจะออกโปรใหม่ เป็นโปรคิดเวลาโทรตามจริงเป็นวินาที

นี่คือความห่วยของ กสทช. หน่วยงานที่สิ้นเปลืองภาษีประชาชนจริง ๆ

เพราะการคิดค่าโทรเป็นวินาทีควรทำในทุกโปร ไม่ใช่ไปเปิดโอกาสให้ค่ายมือถือไปออกโปรใหม่ !!

แถมค่ายมือถือทุกค่าย ต่างร่วมกันฮั้วบอกว่า จะออกโปรคิดค่าโทรตามจริงเป็นวินาที ในเดือนมีนาคม ??

ทีพวกมันจะต้องเสียผลประโยชน์ล่ะ แม่งชักช้าดีนัก คิดดู อีก 3 เดือนถึงจะออกโปรคิดตามจริงเป็นวินาที แล้วช่วง 3 เดือนที่ต้องรอกินฟรีจากการปักเศษไปอีกเท่าไหร่

ข้ออ้างอีกเรื่องของค่ายมือถือคือ ถ้าจะให้คิดตามจริงเป็นวินาทีทุกโปรทั้งระบบ จะต้องใช้เวลาปรับระบบ ปรับเทคนิคอีกอย่างน้อย 6 เดือน !!

แถอีกแล้ว พอจะเสียผลประโยชน์ล่ะก็ ทำเป็นเรื่องยาก ทำเป็นปัญหาเทคนิคมีมากมาย แต่ทีปัดเศษวินาทีกินฟรีกับประชาชนเนี่ยทำง่ายฉิบหายเลยนะ

แถมกินฟรีค่าโทรจากการปัดเศษวินาทีมาหลายสิบปีแล้ว ยังมาทำเป็นแกล้งโง่ว่า การปรับระบบการคิดค่าโทรใหม่ต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 6 เดือน (ตั้ง 6 เดือนโว้ย)

ค่ายมือถือไทยมันเลวไม่แพ้กับปรับลดราคาน้ำมันของ ปตท. เลยจริงๆ

ทีต้องเสียผลประโยชน์ล่ะชักช้า ทีจะได้ประโยชน์ล่ะเสือกเร่งเร็ว

เช่น การประมูล 4 จียังไม่ทันจะเกิด 3 จีไทยก็ยังห่วยแตกไม่ได้มาตรฐานโลก ค่ายมือถือแม่งก็แย่งรีบโฆษณากันจังว่า ค่ายตัวเองใช้ 4 จีได้แล้วนะ

ถุย !! 

โชคดีที่ผมยังไม่ใช้สมาร์ทโฟน เพราะผมยังทำใจไม่ได้ที่ต้องตกเป็นทาสค่ายมือถือจากเรื่องใช้เน็ตผ่านมือถือ

ที่สำคัญ ค่ายมือถือไม่ได้เอาเปรียบแค่เรื่องปัดค่าโทรวินาทีเป็นนาทีเต็ม ๆ แค่เรื่องเดียวนะ

เรื่องปัดไบต์ของการเล่นอินเตอร์เน็ต คนไทยก็ถูกปัดเศษเช่นกัน มันเอาเปรียบผู้บริโภคทุกทาง ที่จริงผมไม่อยากใช้คำว่าเอาเปรียบ แต่ควรเรียกว่า โกง มากกว่า

ส่วน กสทช. นี่ก็ห่วยจริง ๆ อย่างเช่น เรื่องห้ามกำหนดหมดอายุวันใช้งานสำหรับแบบเติมเงิน ก็ดันไปซูเอี๋ยกับค่ายมือถือ โดยยอมให้ค่ายมือถือยังระบุวันหมออายุได้ต่อไป เพียงแต่เติมเงินอย่างน้อย 10 บาทก็ได้วันใช้งานครั้งละ 30 วัน

ถามว่า ทำไมแค่ 30 วัน ทำไม 3 เดือนไม่ได้ ?

กสทช. นี่ห่วยจริง ๆ




----------------------

ถ้าคิดค่าโทรตามจริงเป็นวินาทีได้ เช่น คนที่โทรสั้น ๆ

เช่นโทรไปบอกว่า "ถึงบ้านแล้วออกมาเปิดประตูหน่อย" แค่ 10 วินาที ก็จะเสียค่าโทรเพียง 10 สต.เท่านั้น (ไม่รวมvat)

หรือเช่น คุณได้โปร โทรฟรี 300 นาที ถ้าคุณโทรครั้งนึงประมาณ 2 นาทีกว่า คุณก็จะถูกปัดเศษว่าคุณโทรไป 3 นาที ทำให้ยอดรวมโทรฟรี 300 นาทีของคุณหมดไวกว่าปกติ

อีกประเด็นคือ กสทช. ได้ออกกฎแล้วว่าค่าโทรต้องไม่เกินนาทีละ 99 สต. แต่ทุกวันนี้ค่ายมือถือยังใช้วิธีการเลี่ยงและหาช่องโหว่ในรูปโปรแบบมัดมือชก ในการคิดค่าโทรเกิน 99 สต.อยู่

รายงานข่าวจากช่อง 5 เมื่อเย็นวานรายงานว่า ค่าเฉลี่ยของคนไทยคือ โทร 60 ครั้งจะโดนปัดเศษเกินวินาทีเป็นนาทีถึง 59 ครั้ง

ผลงานวันนี้ ต้องให้เครดิต สปช. ในฝ่ายคณะกรรมมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค โดยคุณสารี อ่องสมหวัง เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้

ลำพัง กสทช. น่ะเหรอ เลี้ยงไว้ก็เปลืองภาษีชาติ สมควรปฏิรูป กสทช. โดยด่วน

คลิกอ่าน ค่ายมือถือไทยเอาเปรียบทาสไทยมานาน


วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

อุทาหรณ์รูปถ่ายสุดท้ายก่อนหญิงไทยตกเหวที่ภูฏาน






ลังจากมีข่าวหญิงไทยวัย 54 ปี ไปพลัดตกเหวที่ภูฐานในขณะขึ้นไปวัดทักซัง วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูฏาน เพราะตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงชัน

สื่อไทยก็รายงานว่า หญิงไทยคนนี้ถ่ายรูปตัวเอง ที่เรียกว่า เซลฟี่ แล้วหวังให้ได้มุมสวย ๆ ให้ฉากหลังติดรูปวัดทัsกซังด้วย จนพล้ดตกเหวจนเสียชีวิตนั้น

ต่อมาทางลูกสาวและสามีของผู้หญิงคนนี้ ออกมาแก้ข่าวว่า แม่หรือภรรยาของพวกเขา เธอมักไม่ชอบพกโทรศัพท์มือถือติดตัวเท่าใดนัก และก็ไม่เล่นโซเชีบลเน็ตเวิร์คด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตกเหวเพราะการชอบถ่ายเซลฟี่ตัวเอง

แต่คาดว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุมากกว่า เพราะทางเดินช่วงนั้นแคบและไม่มีรั้วกันตก แต่จะมีเชือกที่โยงไว้สำหรับผูกธงกั้นไว้แทน

แต่ภายหลังมีการเผยแพร่รูปถ่ายสุดท้ายของเธอ

ทำให้สามีของเธอเลยออกมาแสดงความเห็นอีกครั้งว่า คงเพราะภรรยาคงอยากถ่ายรูปในมุมสวย โดยให้ผู้อื่นถ่ายให้ เลยพลาดตกลงเหวไป

รูปสุดท้ายของเธอถ่ายติดวัดทักซัง ได้อย่างสวยงาม




ส่วนจุดที่เธอตกลงไป จะเห็นว่าเป็นทางเดินที่ค่อนข้างแคบมาก

คลิกที่รูปเพื่อขยาย

รูปจาก @wilasineek

นอกจากนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยอีกราย เจ้าของทวิตเตอร์ @wilasineek ซึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวที่ภูฏานในช่วงเวลาเดียวกับที่นางนวรัตน์ประสบอุบัติเหตุ ได้ทวิตภาพจุดเกิดเหตุบริเวณวัดทักซัง โดยในภาพจะเห็นว่าจุดเกิดเหตุเป็นทางเดินแคบ ๆลื่นมาก เพราะมีหมอกลงหนาที่สำคัญบริเวณบริเวณนั้นไม่มีราวกั้นเป็นจุดที่สิ้นสุดราวกั้นพอดี

ตรงบริเวณดังกล่าวจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปเซลฟี่เป็นจำนวนมาก เพราะหากหันหน้าเข้าหน้าผาหันหลังไปทางเหวแล้วถ่ายรูปเซลฟี่จะได้ทิวทัศน์ด้านหลังเป็นวัดทักซังพอดีซึ่งภาพถ่ายจะสวยงามมาก แต่มีอุปสรรคสำคัญและอันตรายมากคือตรงนั้นไม่มีราวกั้น มีเพียงเชือกธงที่ขึงกั้นไว้เท่านั้น

ตำรวจภูฏาน กล่าวว่าเหตุเกิดในเวลาประมาณเที่ยงของวันที่2ม.ค.ซึ่งขณะนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังทยอยเดินลงเขาอยู่หลังจากเยี่ยมชมวัดเสร็จแล้วโดยจุดเกิดเหตุเป็นบริเวณที่ใช้จุดตะเกียงเพื่อทำพิธีทางศาสนาตรงข้ามวัด ซึ่งมีสภาพทางเดินที่แคบมาก อีกทั้งยังมีท่อระบายน้ำและธงระเกะระกะไปหมดด้วย

ตามรายงานระบุว่า ตำรวจประเมินความสูงที่เหยื่อตกลงไปประมาณ 300-400 เมตร ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตนั้นยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด

รายงานหนังสือพิมพ์บางฉบับก็กล่าวว่านักท่องเที่ยวคนดังกล่าวอาจจะก้าวพลาดแล้วตกลงไปข้างล่าง เนื่องจากบริเวณนั้นไม่มีราวกั้น ในขณะที่บางฉบับก็ระบุว่า นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวยืนพิงเสาธง เพื่อถ่ายรูปวัด แล้วก็ลื่นหล่นลงไป เนื่องจากว่าเสาธงยึดพื้นไม่มั่นคงพอ

ที่มาเนื้อหาข่าว จากประชาชาติธุรกิจ

-----------------


รูปโดย @Siranphon

ลองสังเกตจากรูปขยาย เราจะเห็นว่า มีเชือกแขวนธงกับเสาที่เธอเกาะพิงเพื่อถ่ายรูป ผมคาดว่า เธอคงพลัดตกหลังจากถ่ายรูปนี้ เพราะจากรายงานข่าวบอกว่า เสาที่เธอพิงนั้นไม่แข็งแรงแล้วเคลื่อนที่จนทำให้เธอพลัดตกลงไป

จากความสูงระยะเหวที่เธอตกลงไปประมาณ 300-400 เมตร ก็พอจะมีเวลาในการตกประมาณสัก 3-4 วินาที ไม่รู้ช่วงเวลานั้นเธอคิดอะไรอยู่

ถ้าช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้นเธอทันได้คิดถึงพระ คิดถึงกุศลกรรมที่เคยทำ เธอก็น่าจะได้ไปสู่สุคติ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ข้อคิดว่า การเดินทางในจุดที่อันตรายและมีความเสี่ยงสูง ไม่ควรถ่ายรูป ไม่ว่าจะถ่ายเซลฟี่เอง หรือให้คนอื่นถ่ายให้

โดยเฉพาะผู้ที่ค่อนข้างมีอายุมาก เข่าและแข้งขาอาจไม่แข็งแรงมั่นคงพอ ต้องยิ่งระวังให้มาก อีกทั้งบนเทือกเขาในภูฏานอากาศและออกซิเจนค่อนข้างเบาบางมาก เพราะเคยมีนักท่องเที่ยวจีนเกิดหน้ามืดจนตกเหวมาแล้ว

ส่วนกษัตริย์จิกมี่ ทรงให้เกียรติพระราชทานธงคลุมโลงศพของนักท่องเที่ยวไทยรายนี้เพื่อส่งกลับมาไทย





counter statistics